เชียงใหม่ - ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ภาค 5 นำแถลงผลงานในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบนประจำเดือน ก.ย. 66 เผยศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 ตัดสินแล้วกรณีกล่าวหาอดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง กับพวก ทุจริตจ้างเหมาขุดลอกลำน้ำ 29 โครงการ ผิดทั้ง 29 กระทง จำคุกกระทงละ 4 ปี รวม 116 ปี
วันนี้ (5 ก.ย. 66) ที่ห้องประชุมเวียงเจ็ดลิน ชั้น 5 อาคารสำนักงานสวนสัตว์เชียงใหม่ นายสุชาติ กรวยกิตานนท์ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ภาค 5 เป็นประธานแถลงผลการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช.ภาค 5 และสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดในพื้นที่ภาค 5 (8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน) ประจำเดือนกันยายน 2566 โดยระบุว่าสถิติเรื่องตรวจสอบตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ 2566 มียอดยกมา 819 เรื่อง และรับใหม่ 415 เรื่อง รวมเป็นทั้งสิ้น 1,234 เรื่อง ซึ่งดำเนินการแล้วเสร็จ 631 เรื่อง และคงเหลือระหว่างดำเนินการ 603 เรื่อง ทั้งนี้ มีเรื่องไต่สวนยอดยกมา 363 เรื่อง รับใหม่ 259 เรื่อง รวม 612 เรื่อง และแล้วเสร็จ 139 เรื่อง คงเหลือ 473 เรื่อง โดยเรื่องที่มีการร้องเรียนเข้ามาทั้งหมดนั้น เมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่ามีสัดส่วนประมาณร้อยละ 20 ที่เข้าสู่กระบวนการไต่สวน และในจำนวนเรื่องร้องเรียนที่เข้าสู่กระบวนการไต่สวนนั้น พบว่ามีสัดส่วนประมาณร้อยละ 80 ที่มีมูลความผิด ซึ่งเรื่องร้องเรียนส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของการจัดซื้อจัดจ้าง
สำหรับผลงานด้านการปราบปรามทุจริตของ ป.ป.ช.ภาค 5 ในการแถลงผลงานประจำเดือนกันยายน 2566 นั้น นายสุชาติ ระบุว่า เป็นเรื่องกล่าวหานางสุนี สุขประสงค์ดี หรือสมมี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง กับพวก ว่ากระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีทุจริตเข้ามีส่วนได้เสีย และตกลงร่วมกันในการเสนอราคา ในการดำเนินโครงการจ้างเหมาขุดลอกลำน้ำ ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง เมื่อปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 และ พ.ศ. 2550 จำนวน 29 โครงการ ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติชี้มูลความผิดทางอาญาและทางวินัยผู้ถูกกล่าวหา จำนวน 9 ราย เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 64 และต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ช.เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 9 คน เป็นจำเลย ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 คดีหมายเลขดำที่ อท 118/2564 และ อท 145/2564 จนมีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ อท 99/2566 และ อท 100/2566 เมื่อวันที่ 3 ส.ค.66 ซึ่งนางสุนี ถูกตัดสินว่ากระทำผิดดังกล่าว 29 กระทง จำคุกกระทงละ 4 ปี รวมจำคุก 116 ปี แต่ให้คงจำคุก 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) อย่างไรก็ตามจำเลยยังสามารถใช้สิทธิอุทธรณ์ได้
ทั้งนี้ พฤติการณ์ในการกระทำความผิดนั้น จากการไต่สวนพบว่าผู้รับจ้างไม่ได้เป็นผู้มีอาชีพรับเหมาก่อสร้างหรือขุดลอก ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสนอราคา การทำสัญญาจ้าง การทำงานรับจ้างขุดลอก และไม่เคยได้รับเงินค่าจ้างงานขุดลอกจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง ทั้ง 29 โครงการ โดยก่อนและระหว่างเริ่มต้นโครงการขุดลอกลำน้ำต่างๆ ดังกล่าว จำเลยได้ร่วมกันจัดหาบุคคลต่างๆ ซึ่งส่วนมากเป็นราษฎรประกอบอาชีพค้าขายและรับจ้างทั่วไป โดยว่าจ้างบุคคลต่างๆ ให้ไปจดทะเบียนพาณิชย์ (ร้านค้า) ณ สำนักปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง ให้มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการรับเหมาก่อสร้างและการขุดลอกลำน้ำ เพื่อเป็นหลักฐานว่าบุคคลต่างๆ ดังกล่าวเป็นผู้มีอาชีพรับจ้างโดยตรงตามที่ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2535 กำหนด
ขณะเดียวกัน ให้บุคคลต่างๆ ดังกล่าว เปิดบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาลำปาง พร้อมกับให้ลงลายมือชื่อในใบถอนเงินของธนาคารกรุงไทยในส่วนของการมอบฉันทะให้ถอนเงินไว้ ซึ่งจำเลยจะเก็บเอกสารทะเบียนพาณิชย์ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน บัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทยและใบถอนเงินที่บุคคลต่างๆ ที่ได้ลงลายมือชื่อในส่วนของการมอบฉันทะไว้เพื่อนำรายชื่อของบุคคลต่างๆ เหล่านั้นมาใช้ในการเสนอราคาและเป็นผู้รับจ้างในโครงการขุดลอกลำน้ำต่างๆ ทั้ง 29 โครงการ ต่อมาจำเลยร่วมกัน ในลักษณะแบ่งหน้าที่กัน ทำการปกปิดข่าวสอบราคาโครงการจ้างเหมาขุดลอกลำน้ำในทุกช่องทาง และดำเนินกระบวนการเปิดซองสอบราคาและพิจารณาคุณสมบัติของผู้เสนอราคาทั้ง 29 โครงการ อันเป็นเท็จไม่มีผู้มีอาชีพรับเหมาขุดลอกที่แท้จริงเสนอราคา แต่กลุ่มจำเลยจะจัดทำเอกสารใบเสนอราคาจำนวนโครงการละ 3 ราย ในลักษณะเสมือนว่ามีการยื่นเสนอราคาแข่งขันกัน และจัดทำเอกสารเกี่ยวกับการเปิดซองสอบราคาและตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เสนอราคาและการต่อรองราคา มาให้กรรมการเปิดซองสอบราคาฯ แต่ละโครงการลงนามย้อนหลังอันเป็นเท็จและทำการปลอมลายมือชื่อกรรมการเปิดซองสอบราคาฯ บางราย เพื่อเป็นเอกสารประกอบการเบิกจ่ายเงินงบประมาณแต่ละโครงการเท่านั้น
จากนั้นในขั้นตอนการเบิกจ่ายเงินค่าจ้างทั้ง 29 โครงการ องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปางไม่ได้จ่ายเช็คค่าจ้างให้กับผู้รับจ้าง แต่เช็คค่าจ้างได้ถูกกลุ่มจำเลยซึ่งเป็นผู้เก็บครอบครองบัญชีธนาคารและใบถอนเงินไว้ตั้งแต่ต้นนั้น นำไปขึ้นเงินและทำการถอนเงินสดจากบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาลำปาง ของผู้รับจ้าง โดยว่าจ้างกลุ่มลูกจ้างองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง และกลุ่มลูกจ้างสถาบันภาษาต่างประเทศและคอมพิวเตอร์ (ECC Thailand) รับมอบฉันทะถอนเงินแทน แล้วกลุ่มจำเลยจึงนำเงินสดโครงการละประมาณ 1,700,000-1,900,000 บาท มาแบ่งส่วนกันที่ห้องทำงานของนางสุนี สมมี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง โดยแบ่งเป็นเงินค่าดำเนินงานขุดลอกลำน้ำให้กับผู้รับจ้างผู้มีอาชีพรับเหมาขุดลอกที่เข้าทำงานขุดลอกจริงเพียงจำนวนร้อยละ 60 ของวงเงินตามสัญญาจ้าง ส่วนเงินจำนวนร้อยละ 40 ของวงเงินตามสัญญาจ้าง จะนำมาแบ่งกันระหว่างกลุ่มจำเลย