สุรินทร์– กลุ่มพ่อค้าแม่ค้าตลาดชายแดนช่องจอม บุกศาลากลางฯ ยื่นร้องผู้ว่าฯสุรินทร์ ตรวจสอบตำรวจภาค 3 เข้าตรวจค้นจับกุมผู้ประกอบการและแรงงานเขมรในตลาดช่องจอมถี่ยิบไม่ธรรมมิชอบด้วยกม. ซ้ำมีกลุ่มอ้างเป็น ตร.ข่มขู่เรียกรับผลประโยชน์ ทำชาวกัมพูชาผวาเผ่นกลับประเทศไม่กล้าข้ามแดนมาท่องเที่ยวซื้อขายและรับจ้างในไทย ยิ่งทำให้เศรษฐกิจชายแดนซบเซา เกิดผลกระทบในวงกว้าง
วันนี้ ( 25 ส.ค.) เวลา 08.50 น. ที่หน้าศาลากลางจังหวัดสุรินทร์ นายพัฒนา ชื่นยง ที่ปรึกษาสมาคมมิตรภาพไทย-กัมพูชา พร้อมด้วยพ่อค้าแม่ค้าชาวตลาดการค้าชายแดนช่องจอม ตำบลด่าน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ประมาณ 20 คน ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ นายพิจิตร บุญทัน ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงการเข้าตรวจค้นของเจ้าพนักงานตำรวจปฏิบัติการพิเศษ กองบังคับการสืบสอบสวนตำรวจภูธร ภาค 3 และกลุ่มผู้แอบอ้างเป็นพนักงานตำรวจข่มขู่เรียกรับผลประโยชน์ โดยมี นายสมเกียรติ จันทร์แดง รองผู้อำนวยการศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดสุรินทร์ ลงมารับเรื่องร้องเรียนดังกล่าว พร้อมจะส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้หนังสือร้องเรียน ระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัดดังกล่าว เข้ามาตรวจค้นจับกุมผู้ประกอบการพ่อค้าแม่ค้าภายในตลาดการค้าชายแดนช่องจอม และลูกจ้างแรงงานชาวกัมพูชา ณ ตลาดชายแดนช่องจอม และมีกลุ่มผู้แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาแสวงหาประโยชน์อันไม่ชอบด้วยกฎหมายใช้อำนาจข่มขู่ ผู้ประกอบการพ่อค้าแม่ค้าภายในตลาดชายแดนช่องจอม และลูกจ้างแรงงานชาวกัมพูชา เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ของผู้ประกอบการชาวกัมพูชาและแรงงานชาวกัมพูชา และมีผู้ประกอบการและแรงงานชาวกัมพูชา เกิดความหวาดกลัว ย้ายกลับประเทศ และเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ภายในประเทศกัมพูชา ให้ระมัดระวังการมาค้าขายในตลาดชายแดนช่องจอม ส่งผลกระทบต่อการค้าขายตลาดช่องจอม เป็นอย่างมากในขณะนี้
สมาคมมิตรภาพไทย-กัมพูชา ประจำจังหวัดสุรินทร์ ได้รับเรื่องร้องเรียนจากตัวแทน ผู้ประกอบการพ่อค้าแม่ค้าภายในตลาดชายแดนช่องจอม และลูกจ้างแรงงานชาวกัมพูชา ว่าได้รับความเดือดร้อนจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจปฏิบัติการพิเศษ กองบังคับการสืบสอบสวนตำรวจภูธร ภาค 3 และมีกลุ่มผู้แอบอ้างว่า เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติการพิเศษ กองบังคับการสืบสอบสวนตำรวจภูธร ภาค 3 โดยพฤติการณ์ เจ้าพนักงานตำรวจปฏิบัติการพิเศษ กองบังคับการสืบสอบสวนตำรวจภูธร ภาค 3 เข้ามาตรวจค้นจับกุมผู้ประกอบการพ่อค้าแม่ค้าภายในตลาดชายแดนช่องจอมและลูกจ้างแรงงานชาวกัมพูชา ที่ ตลาดช่องจอม และมีกลุ่มผู้แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาแสวงหาประโยชน์อันไม่ชอบด้วยกฎหมายใช้อำนาจข่มขู่ ผู้ประกอบการพ่อค้าแม่ค้าภายในตลาดชายแดนช่องจอม และลูกจ้างแรงงานชาวกัมพูชา เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ของผู้ประกอบการชาวกัมพูชาและแรงงานชาวกัมพูชา และมีผู้ประกอบการและแรงงานชาวกัมพูชา เกิดความหวาดกลัว ย้ายกลับประเทศและเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ภายในประเทศกัมพูชา
โดยมีการเข้าตรวจค้น เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2566 ชุดปฏิบัติการจากตำรวจภูธรภาค 3 ได้เข้าตรวจค้นจับกุมในตลาดช่องจอม โดยผู้ประกอบการบางรายให้ข้อมูลว่า การตรวจค้นจับกุมดังกล่าว อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากมีการปล่อยผู้กระทำความผิด และหรือมีการข่มขู่เพื่อแลกกับผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
ทางสมาคมมิตรภาพไทย - กัมพูชา หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการช่วยเหลือเพื่อมิให้กระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อันเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดสุรินทร์ และเป็นประโยชน์ส่วนรวมต่อประเทศชาติ ลงชื่อ นายพัฒนา ชื่นยง ที่ปรึกษาสมาคมมิตรภาพไทย-กัมพูชา
นายพัฒนา ชื่นยง ที่ปรึกษาสมาคมมิตรภาพไทย-กัมพูชา กล่าวว่า ตนได้เข้ามาร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งมีประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนมาร้องว่ามีตำรวจภูธรภาค 3 บางกลุ่ม ไปกระทำการจับกุมในบริเวณชายแดนช่องจอม ซึ่งจับกุมถี่มากในช่วงนี้ มีจุดประสงค์อะไรหรือเปล่า ทางตลาดการค้าช่องจอม ก็ไม่เคยคิดว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้ การมาจับกุมก็สามารถทำได้ แต่การจับกุมต้องจับกุมด้วยเหตุผล และวัตถุประสงค์ ตนไม่เชื่อว่า “นาย” จะรู้ทุกเรื่อง เวลามาจับกุมก็อ้างแต่ผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้บัญชาการสั่งมา ตนอยากให้สื่อช่วยตรวจสอบด้วยว่า สินค้าที่เอาไปตรวจสอบ เอาไปไว้ที่ไหน จับ 3 ดำเนินคดี 2 จับ 2 ดำเนินคดี 1 อยากให้ไปตรวจสอบดูว่ามีหรือไม่
ทั้งนี้การตรวจจับขนสินค้าไป บางชิ้นที่มีลิขสิทธิ์ก็ดำเนินการไปตามกฎหมาย บางชิ้นอ้างจะนำไปตรวจสอบก่อน โดยอ้างกฎหมาย มอก. , สคบ.เอาทุกอย่าง และการนำสินค้าที่ไม่ผิดไปตรวจสอบสามารถทำได้หรือไม่ แถมไม่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ร่วมตรวจสอบ ที่สำคัญเอาไปแล้วสินค้าอยู่ไหนของกลับมาครบหรือไม่ และของที่จำหน่ายในตลาดส่วนใหญ่ก็เป็นสินค้าทั่วไป จำพวกอุปกรณ์เครื่องเสียง หลอดไฟ หลอดไฟโซล่าเซลล์ สินค้าอุปกรณ์เสริม อิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีต่างๆ ก็จับเอาไปทั้งหมด ไม่รวมสินค้าอื่นอีกจำนวนมาก ซึ่งเป็นสินค้าที่มีจำหน่ายและถูกยึดไปกว่า 3 รถบรรทุก เหมือนที่มีขายตามตลาดต่างๆ ทั่วประเทศ ที่อื่นมีการปฏิบัติเหมือนกันหรือไม่
และบรรดาพ่อค้าแม่ค้าก็เพิ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 กำลังจะฟื้นตัวก็มาถูกจับบ่อยครั้ง ขณะที่ชาวกัมพูชาลงเฟซบุ๊กแชร์เตือนกัน ทำให้ชาวกัมพูชาไม่กล้าข้ามแดนมาท่องเที่ยวซื้อสินค้าและรับจ้างในไทย ยิ่งทำให้เศรษฐกิจชายแดนซบเซา ชาวไทยค้าขายไม่ได้ เกิดผลกระทบในวงกว้าง
“บรรดาพ่อค้าแม่ค้าจึงรวมตัวมาร้องเรียนเพื่อขอความเป็นธรรมและให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นด้วย หากไม่มีความคืบหน้าพ่อค้าแม่ค้าก็จะเดินหน้าร้องเรียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป” นายพัฒนา กล่าว