เชียงใหม่ - ตำรวจเชียงใหม่เร่งสอบปากคำเพิ่มหนุ่มไทใหญ่สุดอำมหิตผู้ต้องหาอุ้มฆ่าเด็กชาย 5 ขวบ เตรียมส่งศาลฝากขัง เบื้องต้นแจ้งข้อหาพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดามารดา และฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ขณะที่พ่อเด็กเปิดใจยืนยันไม่ได้รู้จักสนิทสนมและไม่เคยยุ่งเกี่ยวเรื่องส่วนตัวของผู้ก่อเหตุตามที่มีการกล่าวอ้างว่าโกรธแค้นถูกกีดกันความรัก เผยยังทำใจไม่ได้กับการสูญเสียและคิดถึงลูกทุกลมหายใจ
ความคืบหน้าคดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวนายจาย กองคำ อายุ 30 ปี เชื้อสายไทใหญ่ สัญชาติเมียนมา ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุลักพาตัวเด็กชายอายุ 5 ขวบไปจากโรงเรียนในตัวเมืองเชียงใหม่ช่วงเย็นวันที่ 15 ส.ค. 66 แล้วนำไปฆ่ารัดคอและทิ้งศพไว้ในหนองน้ำพื้นที่ตำบลหารแก้ว อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งพ่อแม่ของเด็กได้เข้าแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ และต่อมาวันที่ 16 ส.ค. 66 มีการพบศพเด็กถูกทิ้งไว้ที่หนองน้ำ พร้อมทั้งสามารถจับกุมตัวนายจาย และให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุ อ้างว่าเนื่องจากทะเลาะมีปากเสียงและโกรธแค้นพ่อแม่เด็กที่กีดกันความรักระหว่างตัวเองกับน้าสาวของเด็ก
รายงานข่าวแจ้งว่า วันนี้ (17 ส.ค. 66) นายจาย ผู้ต้องหายังคงถูกควบคุมตัวอยู่ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ โดยพันตำรวจเอก ภูวนาถ ดวงดี ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ เปิดเผยว่า คดีนี้ไม่มีความซับซ้อนแต่อย่างใด เนื่องจากมีพยานหลักฐานชัดเจนและผู้ต้องหาให้การยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุด้วยตัวเองเพียงลำพัง ไม่มีผู้อื่นร่วมด้วย ซึ่งในช่วงคืนที่ผ่านมาผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมตัวไว้สามารถกินอาหารและนอนตามปกติ อย่างไรก็ตามได้กำชับสิบเวรให้ดูแลผู้ต้องหาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากหวั่นเกรงว่าอาจจะมีความเครียดและคิดสั้นฆ่าตัวตาย
ในวันนี้ทางพนักงานสอบสวนจะทำการสอบสวนผู้ต้องหาเพิ่มเติม เพื่อเตรียมนำตัวไปส่งฝากขังต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ภายในวันพรุ่งนี้ (18 ส.ค. 66) จากนั้นจะเร่งสรุปสำนวนพร้อมรายงานผลชันสูตรจากแผนกนิติเวช โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เพื่อส่งฟ้องต่อไป ซึ่งเบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนตั้งข้อหาพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดามารดา และฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยผู้ต้องหาขอใช้สิทธิปฏิเสธการทำแผนประกอบคำรับสารภาพ เนื่องจากหวั่นเกรงว่าจะไม่ได้รับความปลอดภัย
ขณะเดียวกันรายงานข่าวแจ้งว่า ในส่วนของร่างเด็กชายที่เสียชีวิตนั้น ถูกส่งไปทำการชันสูตรที่แผนกนิติเวช โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ซึ่งช่วงบ่ายวันนี้ทางครอบครัวและญาติเตรียมรับศพนำไปประกอบพิธีทางศาสนาที่วัดกู่เต้า ในตัวเมืองเชียงใหม่ ส่วนทางโรงเรียนเทศบาลวัดศรีปิงเมือง ซึ่งเป็นโรงเรียนของเด็กชายรายดังกล่าวนั้น จากการพยายามติดต่อสอบถามเกี่ยวกับมาตรการรักษาความปลอดภัยและดูแลเด็กนักเรียน เบื้องต้นได้รับการปฏิเสธจากทางผู้บริหารโรงเรียน
ทางด้านนายอ่าว น่ายอู อายุ 32 ปี พ่อของเด็กชายที่เสียชีวิต เปิดเผยว่า ปกติตนเอง และภรรยาก็ไม่ค่อยได้พบกับน้องสาวของภรรยาเท่าใด เนื่องจากพักและทำงานอยู่กันคนละที่ โดยน้องสาวและผู้ต้องหานั้นเคยมาหาตนเองที่ที่พักไม่กี่ครั้ง รู้เพียงว่าเป็นแฟนที่คบอยู่ด้วยกันได้ประมาณ 3-4 เดือน ก่อนที่จะเลิกรากัน ซึ่งรู้จักเพียงชื่อเล่นเท่านั้น และทางครอบครัวไม่ได้เข้าไปข้องเกี่ยวเรื่องส่วนตัวแต่อย่างใด เพียงแต่วันที่ลูกชายไปสมัครเรียนที่โรงเรียนนั้นน้องสาวภรรยา และผู้ต้องหาเคยไปส่งด้วย แต่ตามปกติตนเองจะเป็นคนไปรับไปส่งลูกชายที่โรงเรียนทุกวัน อาจจะมีบางครั้งเท่านั้นที่จะขอให้น้องสาว และผู้ต้องหาไปรับแทน โดยประเด็นนี้ไม่ได้ติดใจทางโรงเรียนที่ปล่อยลูกไปกับผู้ต้องหา เพราะผู้ต้องหาอาศัยโอกาสจากความคุ้นเคยของเด็กและเคยไปรับมาแล้ว เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าคนเราจะทำร้ายกันได้ขนาดนี้ โดยเฉพาะกับเด็กที่ไม่รู้เรื่อง
ทั้งนี้ ในช่วงที่น้องสาวภรรยาเลิกกับผู้ต้องหานั้น เคยขอให้ไปช่วยขนย้ายข้าวของออก แต่ก็ไม่ได้ไปเนื่องจากทำงานจึงไม่ว่างที่จะไปช่วย จนกระทั่งมาเกิดเหตุในครั้งนี้ ส่วนที่ผู้ต้องหาอ้างว่าทางครอบครัวกีดกันจึงเกิดความโกรธแค้นนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวเรื่องส่วนตัวเลย ทุกครั้งที่ผู้ต้องหามาก็เพื่อมาส่งน้องสาว ซึ่งขี่รถไม่เก่งเลยจำเป็นต้องมาด้วย เมื่อมาถึงก็จะนั่งเงียบไม่พูดไม่จากับใคร ถามตอบกันเพียง 3-4 คำ พูดกันไม่ถึง 5 นาที แม้แต่ชื่อก็ยังไม่เคยได้เรียกกันด้วยซ้ำ อีกทั้งแทบจะไม่ได้พูดคุยเรื่องส่วนตัวเลย จึงยืนยันได้ว่าไม่ได้ขัดแย้งกันจนถึงกับทำให้เกิดความโกรธแค้นที่มาฆ่าลูกของตนเองได้เลย แม้แต่เรื่องส่วนตัวระหว่างผู้ต้องหากับน้องสาว รวมทั้งเรื่องราวที่ทำให้เลิกกันทางครอบครัวเองก็ไม่เคยรู้หรือถามหาเลย
นายอ่าวบอกด้วยว่า ในฐานะคนเป็นพ่อเป็นแม่ รู้สึกเจ็บปวดอย่างหาที่สุดไม่ได้ที่ต้องสูญเสียลูกชายคนโตไปในวัยเพียง 5 ขวบเท่านั้น ซึ่งในวันที่ 29 ส.ค. 66 ลูกกำลังจะมีอายุครบ 6 ขวบเต็มแล้ว ทุกวันนี้ที่ตื่นมาตอนเช้าหลังจากที่ไม่มีลูกชายก็รู้สึกใจหาย ทั้งตัวเองและภรรยาร้องไห้ทุกครั้ง เพราะปกติทุกเช้าที่ตื่นมาลูกชายก็จะมาวิ่งเล่นในโรงงาน ซึ่งเป็นทั้งที่พัก และที่ทำงานของพ่อ หลังจากกินข้าวเปลี่ยนชุดแล้ว ประมาณ 07.00 น. พ่อก็จะพาลูกชายไปส่งที่โรงเรียนทุกวัน แต่วันนี้ตื่นมาต้องใจหายที่ไม่มีลูกแล้ว ซึ่งลูกชายเป็นคนที่ฉลาด พูดเก่ง เรียนเก่ง ครอบครัวเป็นชาวไทใหญ่ แต่ลูกคนนี้ได้เรียนหนังสือไทยเรียนภาษาไทยได้ทั้งเขียน และอ่านเก่งขึ้นทุกวัน
ขณะเดียวกันนายอ่าวบอกว่า มีคำพูดหนึ่งของลูกชายที่ทำให้รู้สึกใจหายทุกครั้งเมื่อคิดถึง คือเมื่อประมาณ 1 เดือนก่อนหน้านี้ จู่ๆ ลูกชายได้พูดขึ้นมาทั้งๆ ที่เป็นเด็กและไม่มีใครสอนว่า หากลูกตายอยากจะกินเค้กทุเรียนสักก้อนหนึ่ง ซึ่งก็ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นจริงในวันนี้ ส่วนลูกชายคนเล็กอายุ 3 ขวบ ก็เชื่อว่าน่าจะรับรู้ว่าพี่ชายของตนเองไม่อยู่แล้ว เพราะไม่พบหน้าไม่ได้เล่นกันหลายวัน และทุกครั้งที่พ่อและแม่ร้องไห้ลูกคนเล็กก็จะร้องไห้ไปด้วยกันเหมือนรับรู้ถึงความสูญเสีย
สำหรับศพของลูกชายนั้น ยังต้องรอทางโรงพยาบาลและตำรวจติดต่อมา ซึ่งนายจ้างที่ดูแลตนเองเหมือนคนในครอบครัวจะช่วยดำเนินการในเรื่องงานศพให้เพราะตัวเองไม่ค่อยรู้เรื่องของเอกสาร และการดำเนินการต่างๆ ส่วนกับตัวนายจาย ผู้ต้องหานั้น ตนเอง ครอบครัว และญาติพี่น้องอยากให้มาขอขมาลูกชาย และทุกคนในสิ่งที่ทำลงไป เนื่องจากตอนนี้ทางญาติพี่น้องต่างโกรธแค้นและรับไม่ได้กับสิ่งที่ผู้ต้องหาทำลงไป ซึ่งอยากให้ตำรวจดำเนินคดีไปให้ถึงที่สุด โดยอยากให้ประหารชีวิตเลย เพราะลูกเราตายมันก็ต้องตายด้วย และสุดท้ายคำพูดที่ยังติดอยู่ในใจตลอดจนทำให้ตัวเองต้องสะอึกและร้องไห้ทุกครั้งเมื่อคิดถึงคำพูดลูก ในช่วงที่ตัวเองต้องออกไปทำงานจนกลับมาค่ำมืดคือลูกชายจะบอกกับแม่ว่า "พ่อยังไม่มาหรือ อยากจะนอนกอดกับพ่อ"