ศูนย์ข่าวศรีราชา - ผ่าน 1 ปีเหตุไฟไหม้ Mountain B ผับสัตหีบ วันนี้พื้นที่เกิดเหตุเหลือเพียงซากรื้อถอนแต่ครอบครัวผู้สูญเสีย บาดเจ็บต้องทนทุกข์ไร้การเยียวยา เจ้าของผับหายหัวจนต้องรวมตัวฟ้องศาลปกครอง ขณะคดีบางส่วนอยู่ที่ศาลจังหวัดพัทยา แต่ยังไม่สิ้นกระบวนการสืบพยาน
จากเหตุการณ์เพลิงไหม้สถานบันเทิงชื่อดังเมืองสัตหีบ Mountain B เมื่อเวลา 01.25 วันที่ 5 ส.ค.2565 วันนี้แม้เหตุการณ์จะผ่านไปครบขวบปีแต่ผู้ที่สูญเสียและผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นยังคงไม่ได้รับการเยียวยาจากเจ้าของกิจการ และทำได้เพียงการรวมตัวฟ้องร้องต่อศาลปกครอง เพื่อให้เอาผิดกับหน่วยงานรัฐกรณีปล่อยให้สถานบันเทิงแห่งนี้เปิดบริการเกินเวลา และไม่มีใบอนุญาตดำเนินการ
ขณะที่พื้นที่ประมาณ 3 ไร่ของผับ Mountain B ที่เคยเปิดอยู่ริมถนนสุขุมวิท ซอยสัตหีบสุขุมวิท 99 ม.7 ต.พลูตาหลวง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ในวันนี้ซากอาคารถูกเพลิงไหม้ได้ถูกรื้อถอนออกไปหมดแล้วเหลือเพียงพื้นที่โล่งกว้างที่มีหญ้าขึ้น แต่ยังพบร่องรอยกระจก และสิ่งก่อสร้างบางส่วนอยู่ตามพื้นดิน
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวในพื้นที่รายงานว่า วานนี้ (6 ส.ค.) บรรดาญาติผู้ที่เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บได้ร่วมกันจัดพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิตที่สำนักปฏิบัติธรรมซอยเย็นฤดี อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โดยได้นิมนต์พระมาสวดตามประเพณีท่ามกลางความโศกเศร้าที่ยังไม่คลายหายไป
โดย นางเบญจมาพร คล้ายแสง มารดาของ นายวิริยะ แต่งสง่า กัปตันร้านที่เสียชีวิตในเหตุการณ์บอกว่าตั้งแต่เกิดเหตุได้รับเงินเยียวยาจากเจ้าของร้านเพียง 3 ครั้งๆ ละ 50,000 บาท จากนั้นไม่เคยเข้ามาดูแลหรือมาพูดคุยอะไรอีกเลย วันนี้จึงอยากเรียกร้องให้เจ้าของร้านกลับมารับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เพราะครอบครัวของตนเองยังมีหลานอีก 3 คนที่ต้องดูแล ส่วนภรรยาผู้เสียชีวิตมีโรคประจำตัวที่ต้องได้รับการดูแลเช่นกัน
เช่นเดียวกับ นางกัญญารัตน์ งามดี มารดาของนายภารุพงษ์ ร่วมสุข เจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่เข้าไปเที่ยวสถานบันเทิงดังกล่าวและได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกไฟคลอกทั้งตัวจนต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลนานกว่า 3 เดือน และปัจจุบันยังมีบาดแผลพุพองเต็มตัว ส่วนบริเวณแผ่นหลังแผลยังไม่แห้งสนิท บอกว่าลูกชายยังคงต้องพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านและยังต้องอยู่ภายในห้องเท่านั้น เนื่องจากกลัวแผลติดเชื้อ
“1 ปีกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครอบครัวของเรารู้สึกแย่มาก จากที่เคยได้ออกไปทำงานหากินต้องมาดูแลลูกชายทำให้เกิดความเครียดมากแต่ไม่กล้าพูดคุยกับลูกเพราะเขาป่วย กลัวว่าจะคิดมาก เพราะลูกมักจะพูดว่าตัวเองเป็นตัวถ่วงของครอบครัว ขณะที่เจ้าของผับไม่เคยมาดูแล และไม่เคยมาเยี่ยมทั้งๆ ที่บ้านอยู่ไม่ไกลกันเลย”
นางกัญญารัตน์ ยังบอกอีกว่า หลังเกิดเหตุลูกชายของตนได้แต่เก็บตัวเงียบและไม่ออกไปไหนนอกจากไปโรงพยาบาล และในหลายครั้งมักจะบ่นว่าช่วงที่ตนเองต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล ครอบครัวน่าจะชักสายออกซิเจนออก จะได้ไม่ต้องมารับรู้ความทรมานเช่นนี้
ส่วนเรื่องของคดีความนั้นปัจจุบันคดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลจังหวัดพัทยา ที่จะต้องทำการสืบพยาน
ด้าน นายภารุพงษ์ บอกว่าในวันนี้ตนยังไม่กล้าออกไปไหน และยังคงทำงานไม่ได้ แต่ยังโชคดีที่เจ้านายและเพื่อนร่วมงานยังให้การช่วยตลอดเวลา ทั้งเรื่องการส่งเจ้าหน้าที่มาล้างแผลให้ และช่วยเหลือเงินทองในบางส่วน แต่เจ้าของร้านที่เกิดเหตุในวันนี้ยังไม่เคยเห็นหน้า