ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - ผู้ประกอบการโรงต้มสุราชุมชนโคราชตื่นตัวเตรียมอัปเกรดเป็นสุราแบรนด์ท้องถิ่นเกรดพรีเมียม แต่ติดปัญหาข้อกฎหมายหลายฉบับ อีกทั้งภาษีสูงสู้รายใหญ่ผูกขาดไม่ได้ วอนว่าที่รัฐบาลชุดใหม่แก้กฎหมายเพื่อให้โอกาสเติบโตได้
วันนี้ (5 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปสำรวจโรงต้มสุราชุมชนในพื้นที่ ต.พุดซา อ.เมือง จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีโรงต้มสุราชุมชนมากที่สุดใน จ.นครราชสีมา กว่า 20 โรง ภายหลังจากที่พรรคก้าวไกล ชูนโยบาย “สุราก้าวหน้า” เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของพรรคและกำหนดไว้ในข้อตกลงร่วม (MOU) ในการจัดตั้งรัฐบาล อีกทั้งนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่าที่นายกรัฐมนตี ได้ออกมาพูดถึงสุราชุมชนยี่ห้อต่างๆ จนกลายเป็นกระแสฟีเวอร์ ทำให้สุราชุมชนหรือสุราท้องถิ่นยี่ห้อเหล่านั้นขายดีจนขาดตลาดอย่างรวดเร็ว
น.ส.ปํณฑ์ชนิต สังข์สุข อายุ 36 ปี ผู้ประกอบการโรงต้มสุราชุมชนรายหนึ่ง ในพื้นที่ ต.พุดซา อ.เมือง จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า การผลิตสุราในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ทั้งหมดจะทำเป็นเหล้าขาว ตีตลาดแรงงานหรือตลาดล่าง เพราะต้นทุนการทำโรงต้มและวัตถุดิบจะถูกกว่า แต่เมื่อทางพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ผลักดันนโยบาย “สุราก้าวหน้า” และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าที่นายกรัฐมนตีคนใหม่ ออกมาพูดถึงสุราท้องถิ่นยี่ห้อต่างๆ ก็ทำให้เกิดเป็นกระแสขึ้นในชั่วข้ามคืน ซึ่งผู้ประกอบการโรงผลิตสุรารายย่อยในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ก็ตื่นตัวกันมาก อยากจะต่อยอดทำสุราแบรนด์ท้องถิ่นของตัวเองบ้าง โดยอัปเกรดเป็นสุราเกรดพรีเมียม
แต่ติดปัญหากฎหมายหลายฉบับ หลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องไปติดต่อแต่ละท้องถิ่น กฎหมายสาธารณสุข ก็ต้องไปติดต่อกับสาธารณสุขอำเภอ กฎหมายตั้งโรงงาน กฎหมายสรรพสามิต และอีกมากมาย ซึ่งแต่ละเรื่องต้องไปติดต่อกับหน่วยงานนั้นๆ ทำให้เกิดความยุ่งยาก แทนที่จะรวมเป็นเรื่องเดียวกัน อยู่ที่เดียวกัน
นอกจากนี้ยังมีเรื่องการเก็บภาษีอัตราสูง เพราะการทำสุรามีต้นทุนภาษีที่สูงมาก คือ 50% เป็นต้นทุนภาษี ถ้าจะผลิตแล้วไปวางขาย ต้องไปวางขายในปริมาณมาก รวมทั้งจะขายในราคาเท่ากับหรือสูงกว่ายี่ห้อดังของเจ้าใหญ่ ก็ขายสู้ไม่ได้ ต้องขายถูกกว่าถึงจะขายได้ ทำให้ผู้ประกอบการผลิตสุรารายย่อยไม่สามารถไปแข่งขันกับรายใหญ่ได้เลย
ที่สำคัญการจะต่อยอดจากโรงต้มสุรา แบบเหล้าขาวไปผลิตสุราแบบอื่น ก็มีข้อกฎหมายว่าต้องไปตั้งเป็นคนละโรงงานกัน ทั้งที่ไลน์การผลิตสามารถต่อยอดได้เลย แต่ไม่สามารถทำได้ ดังนั้นจึงทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยไม่มีกำลังเงินทุนที่จะไปลงทุนตั้งโรงงานใหม่ได้
จึงอยากฝากถึงว่าที่รัฐบาลชุดใหม่ให้ช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคเหล่านี้ เพื่อให้โอกาสผู้ประกอบการรายย่อยสามารถต่อยอดจากสิ่งที่มีอยู่ให้สามารถเติบโตได้อย่างราบรื่น