เชียงใหม่ - โผล่เพิ่ม! เหยื่อหนุ่มกร่างขับรถเบนซ์ปาดหน้าขวางชักปืนข่มขู่คู่กรณีกลางถนนเชียงใหม่ ล่าสุดนักศึกษาชายวัย 20 ปีขึ้นโรงพักเป็นเจ้าทุกข์แจ้งความเอาผิดอีกราย หลังเห็นข่าวแล้วมั่นใจว่าเป็นคนเดียวกับที่เคยก่อเหตุแบบเดียวกันกับตัวเองเมื่อวันที่ 4 พ.ค. 66 โดยขับรถจอดขวางกลางถนนพร้อมลงมากับเพื่อนรวม 3 คน ล้อมรถข่มขู่คุกคาม แถมหลุดคำพูด “ยิงทิ้ง” ทำหวาดผวาหนัก ชี้เป็นบุคคลอันตรายและเข้าข่ายภัยสังคม หวังกฎหมายช่วยจัดการ
ความคืบหน้าคดีที่นายเมฆ (นามสมมติ) อายุ 25 ปี ซึ่งมีนามสกุลเดียวกับนักการเมืองชื่อดังในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ขับรถยนต์เก๋งยี่ห้อเบนซ์ปาดหน้าขวางรถยนต์ของคู่กรณีแล้วนำอาวุธปืนออกมาข่มขู่บนถนนเชียงใหม่-ดอยสะเก็ด ขาเข้าเมือง บริเวณสี่แยกศาลเด็ก ในตัวเมืองเชียงใหม่ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 15 พ.ค. 66 ช่วงค่ำ ซึ่งวันนี้ (18 พ.ค. 66) นายเมฆได้เข้ามอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว พร้อมถูกแจ้งดำเนินคดี 2 ข้อหา และได้รับการประกันตัวโดยผู้ต้องหายอมรับผิดและอ้างว่าก่อเหตุเนื่องจากไม่พอใจที่คู่กรณีบีบแตรเสียงดังใส่ รวมทั้งหวาดกลัวว่าจะถูกทำร้าย ขณะที่จากการตรวจค้นบ้านผู้ต้องหาพบอาวุธปืนสั้นและยาว รวม 13 กระบอก แบ่งเป็นของผู้ต้องหา 3 กระบอก ส่วนที่เหลือเป็นของพ่อผู้ต้องหาและของผู้อื่น โดยที่ปืนทุกกระบอกมีทะเบียนถูกต้องหมด
รายงานข่าวแจ้งว่า ช่วงเย็นวันนี้ (18 พ.ค. 66) ที่สถานีตำรวจภูธรแม่ปิง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ หลังจากที่ พลตำรวจตรี ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ เดินทางมาสอบปากคำผู้ต้องหาคดีดังกล่าวเสร็จและกลับไปแล้ว ปรากฏว่ามีนายชัยคูณ เขื่อนแก้ว อายุ 20 ปี ซึ่งเป็นนักศึกษาที่กำลังจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย นำหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอจากกล้องติดหน้ารถยนต์เข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเชื่อมั่นว่าตัวเองเป็นผู้เสียหายอีกคนหนึ่งที่ถูกผู้ต้องหารายเดียวกันนี้ก่อเหตุขับรถยนต์เก๋งยี่ห้อเบนซ์ปาดจอดขวางหน้ากลางถนน แล้วลงจากรถยนต์มาพร้อมกับเพื่อนรวม 3 คน ข่มขู่คุกคามจนได้รับความหวาดกลัวอย่างหนัก และต้องการแจ้งความดำเนินคดีต่อผู้ต้องหารายนี้
ทั้งนี้ นายชัยคูณเปิดเผยว่า เหตุเกิดเมื่อช่วงเย็นวันที่ 4 พ.ค. 66 เวลาประมาณ 18.30 น. ระหว่างที่ตัวเองขับรถยนต์ออกจากที่พักมาตามถนนเชียงใหม่-ดอยสะเก็ด ถึงสี่แยกศาลเด็ก แล้วเลี้ยวขวาไปตามถนนซูเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่-ลำปาง ขาเขาเมืองเชียงใหม่ ซึ่งระหว่างนั้นไม่แน่ใจว่าการขับรถยนต์ของตัวเองอาจจะทำให้คู่กรณีไม่พอใจหรือไม่ เนื่องจากเพิ่งหัดขับรถยนต์เป็นได้ไม่นาน แต่ปรากฏว่าทางคู่กรณีได้ขับรถยนต์มาตีคู่ทางข้างด้านซ้ายแล้วปาดหน้าจอดขวางหน้าบนถนนช่วงก่อนที่จะถึงสามแยกแม่โจ้ จากนั้นผู้ชายที่เป็นคนขับรถพร้อมเพื่อนอีก 2 คน ได้ลงจากรถมาพยายามจะเปิดประตูรถของตัวเองคล้ายจะเข้ามาทำร้ายและด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย รวมทั้งทุบรถและมีการพูดจับใจความได้ประมาณว่า “เดี๋ยวยิงทิ้ง” แต่ตัวเองล็อกประตูรถไว้ทำให้คู่กรณีไม่สามารถเปิดประตูได้และตัวเองพยายามพูดขอโทษอยู่ตลอด จนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพักหนึ่งทางคู่กรณีพร้อมเพื่อนจึงขับรถออกไป
โดยนายชัยคูณบอกว่า หลังเกิดเหตุแล้วรู้สึกหวาดกลัวอย่างหนัก และรีบขับรถกลับบ้านทันทีเพื่อตั้งสติและปรึกษาครอบครัว ซึ่งในวันรุ่งขึ้น (5 พ.ค. 66) ได้เดินทางมาที่สถานีตำรวจแล้วครั้งหนึ่งเพื่อแจ้งความดำเนินคดี แต่วันนั้นทางร้อยเวรติดภารกิจเกี่ยวกับคดีไฟไหม้ซูเปอร์มาร์เกตแห่งหนึ่ง ซึ่งตนได้รออยู่นานจนตัดสินใจไม่อยากแจ้งความแล้ว จนกระทั่งล่าสุดเห็นในโซเชียลมีเดียและการนำเสนอข่าวเรื่องหนุ่มกร่างขับรถเบนซ์ขวางหน้ารถคู่กรณีแล้วชักปืนออกมาข่มขู่ ซึ่งจากภาพผู้ก่อเหตุที่มีการเผยแพร่ ตนจำได้และเชื่อว่าเป็นคนเดียวกันกับที่ก่อเหตุกับตัวเอง จึงได้ปรึกษาใกล้ชิดและตัดสินใจเข้าแจ้งความอีกครั้งให้ดำเนินคดีต่อผู้ก่อเหตุและพวกอีก 2 คน แม้ทุกวันนี้ตนจะยังรู้สึกหวาดกลัวและหวั่นเกรงความปลอดภัยอยู่เสมอเวลาที่ไปไหนมาไหน แต่ไม่อยากนิ่งเฉย เนื่องจากเห็นว่าเป็นบุคคลอันตรายและเข้าลักษณะเป็นภัยสังคม ที่สมควรต้องถูกกฎหมายจัดการและไม่ไปก่อเหตุซ้ำซากต่อผู้อื่นอีก