นครสวรรค์ - อุทาหรณ์ ตำรวจมือปราบเมืองปากน้ำโพถึงขั้นน้ำตาตก..เจอโพสต์ขายรถบรรทุกมือสอง เปิดดีลซื้อหวังขายต่อ ลงทุนไปดูรถถึงที่ ขอลดราคาได้น่าพอใจกดมือถือจ่ายสดทันที สุดท้ายเจอเล่ห์โอนไม่ได้ แจ้งความแล้วอัยการสั่งไม่ฟ้อง จนคดีขาดอายุความ เครียดจนเส้นเลือดในสมองแตก
ร.ต.ต.วิโรจน์ บุษพลาย อายุ 55 ปี ตำรวจสังกัด สภ.หนองปลิง อ.เมืองนครสวรรค์ ซึ่งป่วยด้วยโรคเส้นเลือดสมองแตก ได้ร้องเรียนผ่านผู้สื่อข่าวกรณีได้มีการติดต่อขอซื้อรถบรรทุก 6 ล้อ มือสอง ตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม 2565 ที่ผ่านมา แต่ถูกเบี้ยวไม่ได้รถทั้งที่จ่ายเงินไปให้หมดแล้วกว่า 180,000 บาท
แต่เดิม นอกจากจะมีอาชีพเป็นตำรวจแล้ว ยังได้ทำธุรกิจซื้อขายรถยนต์-รถจักรยานยนต์มือสองที่บ้านด้วย ซึ่งก็จะหารับซื้อผ่านทางเฟซบุ๊กที่มีการโพสต์ประกาศขาย กระทั่งปีที่แล้วช่วงเดือนมีนาคม เห็นผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ประกาศขายรถบรรทุก 6 ล้อ ยี่ห้ออีซูซุ ในราคา 200,000 บาท ดูสภาพรถตามรูปที่เขาโพสต์ไว้ก็รู้สึกสนใจ น่าจะเอามาขายต่อทำกำไรได้ จึงได้แชตติดต่อกันก่อนจะเดินทางไปดูรถที่ อ.เมืองสิงห์บุรี ซึ่งบ้านของเจ้าของรถบรรทุก 6 ล้อดังกล่าว เขาเปิดเป็นร้านซ่อมและแต่งรถอยู่
“ตอนแรกที่เห็นสภาพรถจริงนี่ปิ๊งเลยล่ะ แต่ราคา 2 แสนก็มองว่ามันสูงไปหน่อย จึงต่อรองกันจนเขายอมลดให้เหลือ 180,000 บาท ก็รีบโอนเงินผ่านโทรศัพท์มือถือจ่ายให้เขาเลยทันที เพราะกลัวเขาจะเปลี่ยนใจกลับไปขายราคาเท่าเดิม แต่สุดท้ายมันก็เริ่มมีปัญหา เมื่อรถเราจ่ายเงินให้เขาไปแล้ว ยังติดปัญหาเรื่องการโอนสิทธิ์ และทางเขาเป็นคนรับปากมั่นเหมาะดูน่าเชื่อถือด้วยว่าเขาจะรีบไปทำเรื่องโอนที่ขนส่งสิงห์บุรีให้ ไม่น่าจะใช้เวลาหลายวัน ผมจึงไว้ใจทิ้งรถไว้กับเขาเพื่อให้ทำเรื่องโอนให้เสร็จเรียบร้อย แล้วจะเดินทางไปเอารถคืนอีกครั้ง”
ร.ต.ต.วิโรจน์เล่าต่อไปว่า ตนนั่งรอคอยวันแล้ววันเล่า วันที่ 1 ผ่านไป วันที่ 2 ค่อยๆ ผ่านไป ยังรู้สึกดีใจด้วยซ้ำว่าน่าจะใกล้ได้รถแล้ว แต่กลายเป็นว่า เวลาผ่านล่วงเลยไปจนวันที่ 4 เจ้าของรถก็ยังไม่ติดต่อกลับมา ก็รู้สึกใจคอไม่ดี รีบโทรศัพท์ติดต่อกลับไป ปรากฏว่าเริ่มได้กลิ่นอายของความขี้โกงเกิดขึ้น เมื่อทางนั้นเขาเริ่มบ่ายเบี่ยง อ้างว่ารถยังโอนเป็นชื่อของตนไม่ได้ เพราะทางขนส่งที่นั่นระบุว่าต้องไปทำเรื่องโอนที่กรุงเทพฯ แห่งเดียวเท่านั้น
“เริ่มรู้ตัวเลยว่างานงอกแน่ๆ เพราะหลังจากติดต่อกลับไปแล้วทางนั้นก็เริ่มเงียบหาย ไลน์ไม่ตอบ โทรศัพท์ก็ไม่รับ ซึ่งส่วนตัวทำงานตำรวจชุดสืบสวนมาโดยตลอด ไล่ปราบจับคนร้ายก็เยอะ ยังคิดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าโกงได้ และใจหนึ่งก็อยากจะกลับไปหา ไปเจอตัวเขาถึงบ้าน แต่อีกใจก็ไม่อยากไป เพราะกลัวทางนั้นเขาจะหาว่าเราเอาหน้าที่การงานไปข่มเหงรังแกเขา ก็ทนรอไปเรื่อยๆ กระทั่งผ่านไปนาน 5 เดือนจึงไม่ทนอีกแล้ว เดินทางไปแจ้งความต่อตำรวจ สภ.เมืองสิงห์บุรี ว่าถูกฉ้อโกงทรัพย์”
ร.ต.ต.วิโรจน์เล่าว่า เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 66 ที่ผ่านมา เจ้าของรถบรรทุก 6 ล้อที่ถูกตนแจ้งความได้โทรศัพท์กลับมาหา และบอกว่าเขาถูกตำรวจจับในข้อหาฉ้อโกงตามที่ตนได้แจ้งความไว้ ซึ่งก็บอกเขาไปว่าถ้าเขายอมโอนเงินคืนมาให้ตั้งแต่แรกก็คงจะไม่ถูกแจ้งความจับ ซึ่งเขาก็ไม่ตอบอะไรต่อจึงได้วางสายไป
เมื่อโทรศัพท์กลับไปถามกับตำรวจเจ้าของคดี ก็ทราบว่าเขาไม่มีเงินจ่ายคืนให้ จึงถูกจับนอนคุกไป 1 คืนก่อนที่จะมีทนายมาทำเรื่องขอประกันตัวออก โดยใช้วงเงินประกัน 20,000 บาท แล้วหลังจากนั้นก็เกิดปรากฏการณ์แปลกๆ ทางคดี เมื่อทางตำรวจนำเรื่องส่งฟ้องต่อไปยังอัยการ เขากลับถูกอัยการสั่งไม่ฟ้อง และจนถึงตอนนี้คดีขาดฟ้องไปแล้ว
“หลังจากที่เขาโดนจับติดคุก เขาได้ส่งข้อความไลน์มาหาลักษณะข้อความที่เยาะเย้ย ว่าเรื่องกฎหมายเขาไม่ถนัด แต่ไม่ต้องห่วง จะวิ่งซิกแซ็กไปให้รอด แล้วก็รอดจริงๆ ด้วย จนกลายมาเป็นผมที่ต้องเครียดอย่างหนัก เครียดจนเส้นเลือดในสมองแตก เดินแทบไม่ได้ ต้องไปบำบัดรักษาทำกายภาพมาจนทุกวันนี้ แถมงานก็ไม่ได้ทำในตำแหน่งเดิมเพราะสภาพร่างกายไม่พร้อม จึงถูกผู้บังคับบัญชาย้ายงานไปช่วยในตำแหน่งอื่น สังกัด ภ.จว.นครสวรรค์ แทน”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากนี้จะดำเนินการต่ออะไรอีกหรือไม่ ร.ต.ต.วิโรจน์ระบุว่า ตนหมดหนทางแล้วจริงๆ ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครต่อได้ แถมร่างกายก็แทบจะเดินไม่ไหว ต้องไปรักษาตัวอยู่เป็นระยะๆ ด้วย ส่วนตัวมีเงินเดือนเพียง 20,000 บาท แม้จะไม่ได้ทำงานหนักขึ้น แต่ก็ต้องใช้เงินรักษาตัว ธุรกิจขายรถมือสองตอนนี้ซบเซาด้วย จึงทำให้เงินเก็บที่มีเริ่มร่อยหรอลงไปทุกที อยากได้เงินที่ถูกโกงคืนเพื่อนำมาต่อทุนชีวิต จึงได้ติดต่อผู้สื่อข่าวหวังให้ช่วยนำเรื่องไปตีแผ่ และให้ทางคนที่โกงไปรู้สึกสำนึก เอาเงินมาคืน เพราะตนจำเป็นต้องใช้
อย่างไรก็ตาม ร.ต.ต.วิโรจน์ยังทิ้งท้ายฝากถามถึงอัยการที่สั่งไม่ฟ้องด้วยว่า เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น ทั้งที่หลักฐานครบชัดเจน ซึ่งตนก็เคยบุกไปถามอัยการท่านนั้นถึงสำนักงานมาแล้ว แต่ก็ได้รับคำตอบว่า ช่วงนั้นเขามีงานเยอะเลยหลายคดี และขอโอกาสแก้ตัว โดยให้ทางตำรวจไปทำสำนวนเพิ่มเติมแล้วส่งฟ้องมาใหม่ แต่สุดท้ายเรื่องดังกล่าวได้ขาดฟ้องไปแล้ว ตนก็มืดแปดด้าน ไม่รู้จะดำเนินการอะไรต่ออีก