เชียงใหม่ - “บิ๊กโจ๊ก-รอง ผบ.ตร.” นำเจ้าหน้าที่แถลง..จับทั้งนอมินีชาวไทย-ทุนจีนทำนิติกรรมอำพราง กว้านซื้อที่ดินผุดบ้านจัดสรรหรูในเชียงใหม่ ขายยูนิตละ 5-11 ล้านบาทขึ้น พร้อมจ่อขอหมายแดงล่าชาวจีนที่เผ่นออกนอกอีก 2 ราย-นอมินีคนไทยอีก 1 พบยังมีบ้านจัดสรรหรูอีกไม่น้อยกว่า 3 โครงการเข้าข่ายด้วย
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางมาแถลงการจับกุมนอมินีนำชาวจีนลงทุนทำบ้านจัดสรร ในพื้นที่ อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ เมื่อค่ำวันที่ 29 มี.ค. 66 ที่ผ่านมา ซึ่งพบว่ามีการลงทุนลักษณะเป็นบ้านเดี่ยวและวิลลา ต.สันกลาง อ.สันกำแพง ทั้งหมด 195 ยูนิต ราคาตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ถึงกว่า 11 ล้านบาท
ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ติดตามจับกุมผู้ต้องหา 5 ราย คือ 1. บริษัทฟ้าหลวงการเกษตร จํากัด แจ้งข้อกล่าวหา Mrs.Qingfang Li (นางชิ่งฟาง หลี่) ข้อหา เป็นคนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต
2. Mrs.Qingfang Li (นางชิ่งฟางหลี่) สัญชาติจีน เป็นผู้ที่ใช้ชื่อนางปาริชาติ ถือหุ้นแทนตนและเป็นกรรมการนอมินี ข้อหา เป็นคนต่างด้าว ยินยอมให้ผู้มีสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่มิใช่คนต่างด้าว ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวโดยฝ่าฝืนกฎหมาย และเป็นกรรมการ หุ้นส่วน หรือผู้มีอํานาจกระทําการแทนนิติบุคคลซึ่งรู้เห็นเป็นใจกับการกระทําความผิดนั้นหรือมิได้จัดการตามสมควร เพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดนั้น และร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทําการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สําหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดย ประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย
3. นางปาริชาติ อายุ 64 ปี ชาวอำเภอเมืองเชียงใหม่ เป็นผู้ที่ถูก Mrs. Qingfang Li (นางชิ่งฟาง หลี่) ใช้ชื่อถือหุ้นแทนตนและเป็นกรรมการนอมินี ข้อหา “เป็นผู้ช่วยเหลือ หรือสนับสนุน ให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการค้าขายอสังหาริมทรัพย์โดยการถือหุ้นแทนคนต่างด้าว เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ซึ่งการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการค้าขายอสังหาริมทรัพย์นี้เป็นธุรกิจที่ไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวประกอบกิจการด้วยเหตุผลพิเศษ ตามบัญชีท้าย บัญชีหนึ่ง ลําดับที่ 9 การค้าที่ดิน, เป็นกรรมการ หุ้นส่วน หรือผู้มีอํานาจกระทําการแทนนิติบุคคล ซึ่งรู้เห็นเป็นใจกับการกระทําความผิดนั้นหรือมิได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดนั้น และร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทําการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สําหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย”
4. นายมานัส อายุ 60 ปี ชาวอำเภอเมืองเชียงใหม่ เป็นนอมินี ข้อหา “เป็นผู้ช่วยเหลือ หรือสนับสนุนให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการค้าขายอสังหาริมทรัพย์ โดยการถือหุ้นแทนคนต่างด้าว เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ซึ่งการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการค้าขายอสังหาริมทรัพย์นี้เป็นธุรกิจที่ไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวประกอบกิจการด้วยเหตุผลพิเศษ ตามบัญชีท้าย บัญชีหนึ่ง ลําดับที่ 9 การค้าที่ดิน”
5. นายสัญชัย ชาวอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย เป็นนอมินี ในข้อหา “เป็นกรรมการ หุ้นส่วน หรือผู้มีอํานาจกระทําการแทนนิติบุคคลซึ่งรู้เห็นเป็นใจกับการกระทําความผิดนั้นหรือมิได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดนั้น” ส่วนคนจีนอีก 2 รายหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ ส่วนคนไทย 1 รายอยู่ระหว่างเร่งติดตามจับกุม
รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกล่าวว่า เนื่องจากได้มีการแจ้งเบาะแสว่ามีกลุ่มทุนจีนเข้ามากว้านซื้อหมู่บ้านในพื้นที่ อ.สันกำแพง อ.เมือง และ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ โดยใช้คนไทยเป็นนอมินีเป็นเจ้าของโครงการแทน ซึ่งรูปแบบลักษณะนี้เริ่มเกิดขึ้นมากที่จังหวัดเชียงใหม่
เพราะเชียงใหม่เป็นจังหวัดที่อยู่ใกล้จีนและคนจีนชอบเดินทางมาเที่ยว ดังนั้นการที่จะซื้อพื้นที่ขนาดใหญ่ ซื้อโครงการ ซื้อหมู่บ้านขนาดใหญ่เพื่อรองรับคนจีนโดยเข้ามาถือครองที่ดินเหล่านี้แล้วสร้างมหาวิทยาลัยต่างๆเพื่อจะวางแผนเข้ามาถือครองกิจการต่างๆ ในประเทศไทย โดยการใช้นิติกรรมอำพราง ซึ่งถ้าหากปล่อยเป็นแบบนี้ต่อไปชาวเชียงใหม่ก็จะไม่มีที่ดินเป็นของตัวเองแล้ว
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบเรื่องนี้ กระทั่งพบว่ามีกลุ่มทุนจีนมากว้านซื้อที่บ้านจัดสรรประมาณ 4-5 โครงการ โดยวันนี้ที่จับกุมนั้นเป็นโครงการฟ้าหลวงการเกษตรจำกัด ซึ่งก่อนหน้านี้มีคนไทยถือหุ้น 100 เปอร์เซ็นต์ ต่อมามีคนจีนมาซื้อหุ้นไป 75 เปอร์เซ็นต์ เมื่อคนจีนซื้อไปก็ให้นอมีมินีคนไทยเป็นผู้ถือหุ้นแทน พร้อมทั้งให้คนจีนอีกส่วนหนึ่งถือหุ้นในสัดส่วนที่ไม่เกินกว่ากฎหมายกำหนด โดยเจ้าของหุ้นเดิมก็ยังถือหุ้นอยู่ 25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตำรวจได้เข้าจับกุมและดำเนินคดีแล้ว ส่วนคนไทยที่เป็นเจ้าของหมู่บ้านเดิมนั้นก็จะมีความผิดตามไปด้วยว่ามีการทำนิติกรรมอำพราง
“เคสนี้ปีที่ผ่านมาผู้ถือหุ้นเสียภาษีแค่ 30,000 กว่าบาท แต่ปีนี้มาเป็นเจ้าของหมู่บ้านจัดสรรหรูมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท”
นอกจากนี้ ทางตำรวจจะตรวจสอบทรัพย์สินเพื่อดำเนินการยึดทรัพย์ทั้งหมด ในความผิดฐานฟอกเงิน และจะมีการตรวจสอบเรื่องของภาษีอากร ถ้าหากพบมีความผิดก็จะดำเนินคดีข้อหาเลี่ยงภาษีอากรอีกข้อหาหนึ่ง
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ยังพบหมู่บ้านจัดสรรหรูอีก 3 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการใหญ่ ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเป็นการทำนิติกรรมอำพรางลักษณะเช่ายาว เช่น การเช่า 30 ปี แต่จะมีสัญญาหลายฉบับ ฉบับละไม่เกิน 3 ปีเพื่อหลีกเลี่ยงการที่ต้องไปจดทะเบียนกับเจ้าพนักงาน ซึ่งขณะนี้ตำรวจกำลังเร่งดำเนินการ
ในส่วนของทุนจีนที่เข้ามาอยู่ในไทยโดยการใช้วีซ่าผู้สูงอายุนั้นก็จะมีการตรวจสอบว่าการขอวีซ่าประเภทนี้ขอถูกต้องหรือไม่ เดินทางมาเองหรือไม่ ซึ่งการขอวีซ่าผู้สูงอายุนั้นหลักเกณฑ์คือต้องมีเงินอยู่ในบัญชี 800,000 บาท หรือทำธุรกิจอะไร มีทรัพย์สิน-มีเงินในบัญชีเพียงพอหรือไม่ หากตรวจพบการกระทำลักษณะเช่นนี้ก็จะมีการดำเนินคดีต่อ ตม.จังหวัดเชียงใหม่ด้วย แต่ไม่พบก็จะให้ความเป็นธรรม
ส่วนผู้ต้องหาชาวจีนที่หลบหนีออกนอกประเทศไป 2 รายนั้น ทางตำรวจก็จะประสานไปยังสถานกงสุลจีนให้มีการออกหมายแดงต่อไป