นครพนม - “ทนายตั้ม” พร้อม เจ๊ช่อ นักธุรกิจชื่อดัง ขึ้นโรงพักนครพนมรับทราบข้อกล่าวหา กรณี “สหายแสง” ศุภชัย โพธิ์สุ ส.ส.ภูมิใจไทย เขต 1 นครพนม พร้อมลูกสาวและคนสนิท ฟ้องหมิ่นฯ ปมแถลงข่าวแฉคนสนิทโกงเงิน 25 ล้าน ทนายตั้มเผยร้อง ผบ.ตร. เชื่อมีการใช้อิทธิพลทางการเมืองแทรกแซงการทำงานตำรวจ
เมื่อเวลา 09.00 น. วันนี้ (29 มี.ค.) ที่ สภ.เมืองนครพนม ทนายตั้ม นายษิทรา เบี้ยบังเกิด อายุ 42 ปี พร้อมด้วย น.ส.ช่อฉัตร โตชูวงศ์ อายุ 55 ปี เจ้าของบริษัทรับผลิตจำหน่ายน้ำยางพารารายใหญ่ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.คำดี เฮียงบุญ รอง ผกก.สอบสวน สภ.เมืองนครพนม และพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา กรณีถูก สหายแสง หรือนายศุภชัย โพธิ์สุ หรือครูแก้ว ส.ส.นครพนม เขต 1 พรรคภูมิใจไทย รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง และลูกสาวคือ นางสาวศุภพานี โพธิ์สุ หรือนายกขวัญ นายก อบจ.นครพนม และคนสนิท คือ นายธนบวร สิริคุณากรกุล อดีตประธานที่ปรึกษานายก อบจ.นครพนม โดยทั้ง 3 รายได้แจ้งความดำเนินคดีอาญา ที่ 1425/2565 ฐานความผิดร่วมกันหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กับทนายตั้ม พร้อมเจ๊ช่อ
โดยคดีนี้มีการแยกเป็นคดีทั้งหมด 6 คดี คนละ 3 คดีในฐานความผิดเดียวกัน กรณีก่อนนี้มีการออกมาแถลงข่าวผ่านสื่อมวลชน เกี่ยวกับปมคนสนิท สหายแสง โกงเงิน 25 ล้านบาท ในการวิ่งเต้นโครงการรัฐบาล ทำให้สหายแสง นายศุภชัย โพธิ์สุ หรือครูแก้ว ส.ส.นครพนม เขต 1 พรรคภูมิใจไทย รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง ไม่พอใจ เชื่อว่าเป็นการกล่าวหาทำให้เกิดความเสียหายแก่ตนและลูกสาว จึงแจ้งความดำเนินคดี ร้องทุกข์กล่าวโทษที่ สภ.เมืองนครพนม
อย่างไรก็ตาม ทนายตั้ม นายษิทรา และ น.ส.ช่อฉัตร ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และยืนยันจะต่อสู้คดีตามขั้นตอนของกฎหมายให้ถึงที่สุด มั่นใจเป็นการนำหลักฐานมาเปิดเผยเรียกร้องความเป็นธรรมตามข้อเท็จจริง ไม่ได้มีเจตนากล่าวหาใคร มั่นใจมีหลักฐานเพียงพอในการเอาผิดบุคคลที่เกี่ยวข้อง และพร้อมที่จะดำเนินคดีคืน
ทนายตั้ม นายษิทรา เบี้ยบังเกิด อายุ 42 ปี เปิดเผยว่า วันนี้ได้เดินทางมาพร้อมเจ๊ช่อ กรณี นายศุภชัย โพธิ์สุ พร้อมลูกสาว และคนสนิท แจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมายเกี่ยวกับความผิดหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เนื่องจากเคยให้สัมภาษณ์เรื่องอดีตข้าราชการการเมืองคนหนึ่งมีการเรียกรับเงิน 25 ล้านบาท หลังมีการแจ้งความดำเนินคดีจึงมีหมายเรียกจากตำรวจ จึงต้องมารับทราบข้อกล่าวหา แต่ไม่หนักใจ เพราะการแถลงข่าวไม่ได้กล่าวหาครูแก้ว กับลูกสาว แต่พูดถึงคนสนิท จึงมองว่า คดีนี้เป็นการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งตนกับเจ๊ช่อ
อีกทั้งมีข้อสังเกตว่ามีการแจ้งความแยกออกเป็นหลายคดี เพื่อให้มีการออกหมายเรียกซ้ำซ้อน หวังให้เกิดความลำบากในการเดินทาง แต่ตนได้หารือกับตำรวจเพื่อให้ดำเนินคดีเป็นครั้งเดียว เพราะเป็นเรื่องเดียวกัน พร้อมได้มีการร้องเรียนต่อผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนมให้มีการตรวจสอบการทำงานของตำรวจ ซึ่งก่อนนี้ได้ร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้ตรวจสอบคดีนี้ และโอนคดีไปยังส่วนกลาง
ด้าน น.ส.ช่อฉัตร โตชูวงศ์ อายุ 55 ปี เจ้าของบริษัทรับผลิตจำหน่ายน้ำยางพารารายใหญ่ เปิดเผยว่า เรื่องคดีไม่หนักใจ เพราะมีการพูดคุยหารือกับทนาย มองแล้วหลักฐานอ่อนมาก แทบไม่มีอะไรเลย เป็นการกล่าวหา แต่ที่หนักใจคือเราเข้าพื้นที่นักการเมืองที่มีอิทธิพล และลำบากในการเดินทางจาก กทม. ส่วนข้อหาเป็นเพียงข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา แต่แยกออกเป็น 6 คดี ยืนยันตนเอาเรื่องจริง ข้อเท็จจริงมาเปิดเผย เพื่อขอความเป็นธรรม
สาเหตุที่มีการแจ้งความดำเนินคดี มั่นใจว่าอยากปิดปาก ต่อรองกับตนหวังเจรจามากกว่า และอยากให้หยุดแฉขุดคุ้ยกรณีไปโกงคนอื่นมา จึงเข้าใจว่าเป็นการฟ้องปิดปาก ไม่อยากให้แฉความจริงต่อ
ยืนยันที่จะเดินหน้าดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่ต้องการให้ไปกระทำผิดซ้ำอีก และหลอกลวงคนอื่น เพราะยิ่งคนที่ไม่มีทางสู้ยิ่งลำบาก สำคัญที่สุดเป็นการเอาเรื่องจริงมาเปิดเผย จึงไม่เกรงกลัวว่าจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย และพร้อมจะสู้ให้ถึงที่สุด ถึงแม้จะถูกข่มขู่ให้อุ้มหาย