กาฬสินธุ์ - เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังเมืองน้ำดำเฮลั่น หลังพลิกผืนดินแล้งนอกเขตชลประทานที่เคยปลูกอ้อย หันมาปลูกมันสำปะหลัง เพียงปีเดียวได้ผลเกินคาด ขายได้ราคาสูงตันละ 3,600 บาท มีกำไรได้หยิบเงินแสน ขณะที่อ้อยราคาตันละ 1,400 บาท ได้กำไรแค่เงินหมื่นแถมเสี่ยงขาดทุน คุยฟุ้งขายมันฯ มีเงินเหลือใช้หนี้ ธ.ก.ส.อีกด้วย
จากการติดตามบรรยากาศการเก็บเกี่ยวผลผลิตมันสำปะหลังของเกษตรกรชาว ต.นาเชือก ต.เขาพระนอน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ พื้นที่นอกเขตใช้น้ำชลประทานลำปาว พบว่ามีการระดมแรงงานเก็บหัวมันสำปะหลังอย่างแข็งขัน จากการสอบถามทราบว่าทุกคนมีกำลังใจทำงาน เนื่องจากราคาขายผลผลิตหัวมันสำปะหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยวปีนี้สูงขึ้นถึงกิโลกรัมละ 3.60-3.80 บาท หรือตันละ 3,600-3,800 บาท ต่างจากฤดูกาลเก็บเกี่ยวปีที่ผ่านมา ได้ราคาสูงสุดเพียงกิโลกรัมละ 2.50 บาทหรือตันละ 2,500 บาทเท่านั้น และที่สำคัญขายได้ราคาสูงกว่าอ้อยอีกด้วย
นางมณี วงค์สมศรี อายุ 54 ปี เกษตรกรบ้านหนองกาว บอกว่า ตนมีที่ดินทำการเกษตร 20 ไร่ เดิมเคยปลูกอ้อยส่งโรงงาน ปีใดประสบภัยแล้ง อ้อยให้ผลผลิตตกต่ำ เสี่ยงต่อการขาดทุน ที่สำคัญต้นทุนการทำไร่อ้อยสูงมาก รวมทุกขั้นตอนตั้งแต่เตรียมดิน ค่าปุ๋ยเคมี ค่าแรงงาน ค่าเก็บเกี่ยว เฉลี่ยไร่ละ 12,000 บาท อายุ 12-14 เดือนเก็บเกี่ยว ราคาขายตันละประมาณ 1,400 บาท ขณะที่ต้นทุนการปลูกมันสำปะหลังทุกขั้นตอนต่ำกว่าการปลูกอ้อย เฉลี่ยไร่ละ 6,500 บาท อายุ 6 เดือนขึ้นไปเริ่มเก็บเกี่ยวได้ ราคาขายตันละประมาณ 3,600 บาท หรือกิโลกรัมละ 3.60 บาท
โดยเฉพาะในช่วงนี้ราคารับซื้อพุ่งสูง อยู่ที่ 3.70-3.80 บาท ขึ้นอยู่กับคุณภาพแป้งของหัวมันสำปะหลัง นอกจากนี้ในส่วนของการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังก็ง่ายกว่าอ้อย โดยใช้รถไถพรวนแล้วเก็บหัวมัน ไม่ต้องเผาอ้อยก่อนตัดให้เกิดฝุ่นละออง หรือ PM 2.5 ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอีกต่างหาก
ด้านนายบุญจันทร์ เหล่าแสง อายุ 62 ปี เกษตรกรบ้านหนองกาว เปิดเผยว่า ตนเคยปลูกอ้อยมาหลายปี แต่ได้กำไรน้อย บางปีเจอภัยแล้ง อ้อยไม่เจริญเติบโต ขายได้กำไรแค่เงินหมื่น แต่ปีนี้หลังจากเห็นแนวโน้มราคามันสำปะหลังดีขึ้น จึงหันมาปลูกมันสำปะหลังดู และนำไปขายได้ราคากิโลกรัมละ 3.70 บาท รวมรายได้และหักค่าใช้จ่ายเหลือเงินก้อนใหญ่ อย่างที่เรียกว่าเป็นเกษตรกรมาหลายสิบปี เพิ่งได้หยิบเงินแสนก็ในปีนี้ โดยมีเงินเหลือไปใช้หนี้ ธ.ก.ส. และเหลือแบ่งเป็นทุนสำหรับปลูกมันสำปะหลังในฤดูกาลต่อไปอีกด้วย
ซึ่งจะเริ่มเพาะปลูกทันทีที่ฝนตกลงมา ให้ดินมีความชุ่มชื้นเพื่อมันสำปะหลังเติบโตได้ดี ทั้งนี้ ในภาพรวมเกษตรกรที่ปลูกมันสำปะหลังทุกคนมีกำไร ต่างจากที่เคยปลูกอ้อยซึ่งได้กำไรน้อย และยังเสี่ยงต่อการขาดทุน แต่สิ่งที่อยากจะฝากไปถึงส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ช่วยควบคุมราคาปุ๋ยเคมีให้ราคาถูกลงกว่านี้ด้วย เพราะปัจจุบันราคาสูงมาก
โดยปีที่ผ่านมากระสอบละ 1,700 บาททีเดียว จึงเป็นภาระหนักของเกษตรกรที่ปัจจัยการผลิตสูงมาก เพราะหากราคาปุ๋ยเคมีลดลง เกษตรกรก็จะมีกำไร
อย่างไรก็ตาม ในภาวะที่ราคาซื้อขายมันสำปะหลังสดสูงขึ้นกิโลกรัมละ 3.60-3.80 บาทดังกล่าว จึงเป็นแรงบันดาลใจให้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังหลายราย ใช้เวลาว่างให้เกิดมูลค่าเพิ่ม โดยนำหัวมันสำปะหลังมาสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากนั้นนำไปผึ่งแดดให้แห้ง แล้วบรรจุกระสอบไปขาย ซึ่งจะได้ราคาสูงกว่าขายหัวมันสดเป็นเท่าตัว คือกิโลกรัมละ 7-8 บาททีเดียว