บุรีรัมย์ - คืบหน้าลูกสาวผู้ช่วย ผญบ.ชาว อ.ปะคำ ที่ถูก สภ.ชัยพฤกษ์ออกหมายเรียกตกเป็นผู้ต้องหาขายลอตเตอรี่เกินราคา พ้นข้อกล่าวหาแล้วหลังหอบหลักฐานพบร้อยเวรฯ ที่สโมสรตำรวจกรุงเทพฯ ยันบริสุทธิ์ ผลตรวจสอบพบ ตร.ออกหมายผิดคนเหตุชื่อเหมือนกัน และผู้กระทำผิดตัวจริงติดต่อเข้าพบ ตร.แล้ว ด้านผู้เสียหายเผยไม่ติดใจแค่ฝาก ตร.ทำงานให้รอบคอบมากขึ้น
ความคืบหน้ากรณีที่ นายวิรัช แสนเดช อายุ 51 ปี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบ้านถนนหัก ต.ปะคำ อ.ปะคำ จ.บุรีรัมย์ พร้อมด้วย น.ส.สุภารัตน์ พินิจ อายุ 33 ปี ลูกสาว ได้ออกมาร้องขอความเป็นธรรมและขอความช่วยเหลือ หลังได้รับหมายเรียกจาก สภ.ชัยพฤกษ์ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร โดยระบุว่า น.ส.สุภารัตน์ ลูกสาวผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านตกเป็นผู้ต้องหา “ร่วมกันเสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลและยังไม่ได้ออกรางวัลในราคาเกินกว่าราคาที่กำหนดในสลากกินแบ่งรัฐบาล” ทั้งที่ น.ส.สุภารัตน์ เลี้ยงลูกอยู่ที่บ้านไม่ได้ไปทำงานที่อื่นมากว่า 3 ปีแล้ว และยืนยันว่าไม่เคยขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเลย จึงเกรงว่ามีการออกหมายเรียกผิดพลาด หรือมีบุคคลอื่นแอบนำชื่อไปใช้หรือไม่
กระทั่งล่าสุด น.ส.สุภารัตน์ พินิจ พร้อมครอบครัว ก็ได้นำหลักฐานเดินทางไปพบพนักงานสอบสวนผู้ออกหมายเรียก ที่สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ตามที่มีการออกหมายเรียกแล้ว เพื่อไปแสดงความบริสุทธิ์ ยืนยันว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำผิด เพราะไม่เคยขายสลากกินแบ่งรัฐบาล และไม่เคยซื้อสลากหรือลอตเตอรี่ออนไลน์เลย ที่สำคัญไม่เคยเปิดบัญชีธนาคาร แต่ผู้ที่กระทำผิดมีบัญชาธนาคารกสิกรไทย ทางพนักงานสอบสวนจึงได้ทำการตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยมี พ.ต.อ.ธิติพงศ์ ภิวัฒน์วุฒิกุล รอง ผบก.นครบาล 2 มาร่วมในการตรวจสอบกรณีดังกล่าวด้วย
ขณะที่ตำรวจกำลังสอบถามข้อมูลรายละเอียดกับ น.ส.สุภารัตน์ ชาว จ.บุรีรัมย์ อยู่นั้น ก็มีหญิงคนหนึ่งโทรศัพท์เข้ามาหาพนักงานสอบสวน บอกว่าตัวเองชื่อ น.ส.สุภารัตน์ พินิจ เป็นชาว จ.ภูเก็ต และเป็นสมาชิกที่ขายสลากฯ กับมังกรฟ้าจริง เขาบอกว่าเพิ่งเห็นข่าวว่ามีหมายเรียกไปอยู่ที่ จ.บุรีรัมย์ ก็ยังงง เพราะจริงแล้วหมายเรียกควรจะส่งไปหาเธอที่ จ.ภูเก็ต และเธอยังบอกกับพนักงานสอบสวนว่าจะเดินทางมาพบพนักงานสอบสวนเพื่อเปรียบเทียบปรับ กรณีที่ขายสลากเกินราคา
จากกรณีดังกล่าวตำรวจจึงได้ทำการตรวจสอบทะเบียนราษฎรอีกครั้ง ก็พบว่ามีชื่อดังกล่าวเหมือนกันจริงแต่เลข 13 หลักไม่ตรงกัน และภายหลัง น.ส.สุภารัตน์ ที่อยู่ จ.ภูเก็ต ได้เปลี่ยนนามสกุล ตอนแรกจึงทำให้ตรวจสอบไม่พบจึงได้ส่งหมายเรียกไปที่ จ.บุรีรัมย์ ตามทะเบียนราษฎร สรุปว่ากรณีดังกล่าวเป็นการออกหมายเรียกผิดคน
ด้าน พ.ต.อ.ธิติพงศ์ ภิวัฒน์วุฒิกุล รอง ผบก.นครบาล 2 กล่าวว่า จากการตรวจสอบฐานข้อมูลของมังกรฟ้า ว่าสมาชิกที่จำหน่ายสลากเกินราคามีใครบ้าง ก็พบว่ามีคนชื่อ น.ส.สุภารัตน์ พินิจ ร่วมเป็นสมาชิกจริง แต่ตรวจสอบทะเบียนราษฎรมีเพียงคนเดียวจึงได้ส่งหมายเรียกไป แต่พอ น.ส.สุภารัตน์ ชาว จ.บุรีรัมย์ ผู้ที่ได้รับหมายเรียก ได้เดินทางมาพบพนักงานสอบสวน ยืนยันว่าไม่ได้เป็นสมาชิกไม่เคยเปิดบัญชีธนาคาร และไม่เคยซื้อหรือขายลอตเตอรี่เลย จึงได้ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง จึงปรากฏว่ามีคนชื่อ น.ส.สุภารัตน์ พินิจ อีกคนหนึ่ง แต่ภายหลังได้เปลี่ยนนามสกุล จึงทำให้ตรวจไม่พบในตอนแรก
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ น.ส.สุภารัตน์ ชาว จ.บุรีรัมย์ ที่มาแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่ก็ได้ทำการบันทึกถ้อยคำไว้เป็นพยาน และจะยุติเรื่อง ส่วน น.ส.สุภารัตน์ อีกคนซึ่งอยู่ จ.ภูเก็ต และเป็นผู้กระทำผิดจริง ก็ได้ติดต่อมาหาพนักงานแล้วว่าจะเดินทางมาพบตำรวจเพื่อทำการเสียค่าปรับ ก็ยอมรับในความผิดพลาดพร้อมขอโทษผู้เสียหายด้วย
ขณะที่ น.ส.สุภารัตน์ ชาว จ.บุรีรัมย์ บอกว่า หลังจากเดินทางมาพบตำรวจตามหมายเรียก แล้วทราบข้อเท็จจริงว่าเป็นการออกหมายผิดคน ก็รู้สึกสบายใจและดีใจมากที่ไม่ได้เป็นผู้ต้องหา เพราะมีคนที่ชื่อเหมือนกันอยู่จ.ภูเก็ต เขาโทร.มารับสารภาพกับตำรวจว่าเขาเป็นคนขายลอตเตอรี่มังกรฟ้า ซึ่งทางตำรวจก็ชี้แจงว่าข้อมูลสามารถผิดพลาดกันได้ ซึ่งเขาก็แก้ไขให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนตัวก็ไม่ได้ติดใจเอาความอะไร แต่ก็อยากฝากให้ตำรวจตรวจเช็กข้อมูลให้ชัดเจนและทำงานให้รอบคอบมากกว่านี้ จะได้ไม่เกิดความผิดพลาดและได้รับความเดือดร้อนเหมือนกับตนเองอีก