เชียงใหม่ - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประชุมทุกหน่วยงานในสังกัดและเกี่ยวข้อง มอบนโยบายแนวทางปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควันและฝุ่นละอองพื้นที่ภาคเหนือ คาดสถานการณ์รุนแรงกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กำชับเข้มงวดกวดขันเฝ้าระวังป้องกันเต็มที่
วันนี้ (6 ก.พ. 66) ที่หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมปฏิบัติการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควันและฝุ่นละอองของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เพื่อติดตามสถานการณ์ปัญหาไฟป่า หมอกควันและฝุ่นละออง พร้อมมอบนโยบายและแนวทางปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำอธิบดีและหัวหน้าส่วนราชการในสังกัด รวมทั้งนายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่, ผู้แทนกองทัพภาคที่ 3 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจชุดปฏิบัติการพิเศษดับไฟป่า "ชุดเสือไฟ" ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช "ชุดเหยี่ยวไฟ" ของกรมป่าไม้ เจ้าหน้าที่ชุดควบคุมไฟป่า สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ ที่ 16 และเจ้าหน้าที่ทหารจากกองทัพภาคที่ 3 รวมถึงขอบคุณจังหวัดเชียงใหม่ที่ได้มีการประสานการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหา เพื่อสร้างสุขและสุขภาพที่ดีของประชาชนให้ปลอดภัยจากปัญหาหมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกล่าวว่า ปีนี้คาดว่าสถานการณ์ไฟป่า หมอกควันจะรุนแรงกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยได้กำชับให้มีการกวดขันการเผาไหม้ในที่โล่งแจ้ง และพื้นที่ป่าอย่างต่อเนื่อง โดยพื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังการเกิดไฟไหม้ป่าเป็นพิเศษ ได้แก่ พระตำหนัก เขตพระราชทาน พื้นที่ทรงงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และพื้นที่ที่มีความสำคัญทางระบบนิเวศ ยอดดอย พื้นที่ลาดชันสูง แหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหายากใกล้สูญพันธุ์และพืชพรรณหายาก รวมทั้งต้องจับตาพื้นที่ที่เกิดไฟไหม้ซ้ำซากเป็นประจำทุกปีด้วย
ในการลาดตระเวนเฝ้าระวังป้องกันนั้น ให้จัดกำลังพล และอุปกรณ์ ยานพาหนะ โดยเฉพาะเทคโนโลยีทันสมัยให้มีความพร้อม เพื่อเสริมศักยภาพแก่กำลังพลผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งจะช่วยให้การทำงานของเจ้าหน้าที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน เน้นย้ำแนวทางปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาว่าทุกหน่วยงานจะต้องทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพด้วยฐานข้อมูลเดียวกันและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมทั้งมีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิดและเปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมด้วยในการป้องกันแก้ไขปัญหาเพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างในการทำงาน โดยในการปฏิบัติงานให้มีการนำมาตรการทางกฎหมายมาบังคับใช้อย่างเคร่งครัดควบคู่กับการขอความร่วมมืออย่างเหมาะสม
พร้อมกำชับเกี่ยวกับการบริหารจัดการเชื้อเพลิงว่า เบื้องต้นมีเอกชนเข้าร่วมรับซื้อเศษวัสดุเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการทำแนวกันไฟและการชิงเก็บลดเผาด้วยเป้าหมายไม่น้อยกว่า 3,000 ตัน โดยในการชิงเผาเพื่อบริหารจัดการเชื้อเพลิงนั้น เน้นย้ำว่าก่อนที่จะลงมือจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพูดคุยทำความเข้าใจกับคนในพื้นที่ด้วย เพื่อป้องกันข้อครหาเรื่อง “เผาเอางบ”