xs
xsm
sm
md
lg

สั่งเด้งฟ้าผ่า หน.ศูนย์บริหารการทะเบียนภาค 5 ส่อเอี่ยวรีดเงินทำบัตรต่างด้าว-"ปลัดจอมแฉ" จี้เอาผิดไม่ยกเว้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เชียงใหม่ - อธิบดีกรมการปกครองสั่งย้ายฟ้าผ่าหัวหน้าศูนย์บริหารการทะเบียนภาค 5 สาขาจังหวัดเชียงใหม่ ส่อเอี่ยวเรียกรับเงินในกระบวนการจัดทำทะเบียนประวัติและบัตรประจำตัวแรงงานต่างด้าว หลังโดนนายหน้าแรงงานเข้าแจ้งความ ขณะที่ “ปลัดจอมแฉ” เกาะติดคดี ยื่นหนังสือถึงตำรวจขอทราบข้อเท็จจริงในฐานะผู้ช่วยนายทะเบียนที่ร่วมปฏิบัติหน้าที่ จี้เอาผิดผู้เกี่ยวข้องทุกรายอย่างไม่มีข้อยกเว้น


ความคืบหน้ากรณีนายหน้าแรงงานต่างด้าวที่จังหวัดเชียงใหม่ร้องเรียนผ่านนายบุญญฤทธิ์ นิปวณิชย์ ปลัดอำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ในฐานะผู้ช่วยนายทะเบียนจังหวัดเชียงใหม่ในการปฏิบัติราชการแทนในการจัดทำทะเบียนประวัติและบัตรประจำตัวแรงงานต่างด้าวว่ามีการเรียกเก็บเงินกินเปล่าจากแรงงานต่างด้าวคนละ 300-400 บาท ในระหว่างกระบวนการทำทะเบียนประวัติและบัตรประจำตัวแรงงานต่างด้าวที่ศูนย์บริหารการทะเบียนภาค 5 อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ เริ่มตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค. 66 เป็นต้นมา โดยกลุ่มบุคคลภายนอกที่ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่เข้ามาประจำจุดทำหน้าที่ตรวจเอกสาร, จ่ายบัตรคิว และจ่ายบัตรประจำตัวที่ทำเสร็จแล้ว ทั้งนี้ ให้นายหน้าเป็นผู้รวบรวมเงินจ่ายให้แก่กลุ่มบุคคลดังกล่าว ซึ่งหากไม่ยินยอมก็จะไม่มอบบัตรประจำตัวให้ โดยมีการแอบอ้างว่าเป็นไปตามนโยบายและคำสั่งจากข้าราชการระดับสูงของจังหวัดเชียงใหม่ ที่สั่งการผ่านนักการเมืองท้องถิ่นรายหนึ่งให้เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 66 นายหน้าแรงงานต่างด้าวที่เป็นผู้เสียหายได้นำหลักฐานเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรดอยสะเก็ด เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีต่อผู้ที่เกี่ยวข้องเบื้องต้นจำนวน 3 คน พร้อมขยายผลถึงผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด

ขณะที่ต่อมาในวันที่ 20 ม.ค. 66 นายกันต์ธร ณ ลำพูน อายุ 33 ปี นายหน้าของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่เข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจภูธรดอยสะเก็ด ให้ดำเนินคดีต่อนายมีศักดิ์ ใจเย็น อายุ 52 ปี หัวหน้าศูนย์บริหารการทะเบียนภาค 5 สาขาจังหวัดเชียงใหม่ ฐานความผิด เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน เหตุเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 27 พ.ค. 65 ถึงวันที่ 6 ม.ค. 66 ต่อเนื่องกัน ที่ศูนย์บริหารการทะเบียนภาค 5 สาขาจังหวัดเชียงใหม่ ความเสียหายเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 830,000 บาท จากนั้นนายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง ลงนามคำสั่งลงวันที่ 23 ม.ค. 66 ให้นายมีศักดิ์ไปช่วยราชการที่วิทยาลัยการปกครอง กรมการปกครอง เป็นการประจำ ตั้งแต่วันที่ 24 ม.ค. 66 เป็นต้นไป


วันนี้ (24 ม.ค. 66) ที่สถานีตำรวจภูธรดอยสะเก็ด อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ นายบุญญฤทธิ์ นิปวณิชย์ ปลัดอำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ในฐานะผู้ช่วยนายทะเบียนจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้ร่วมปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว เข้ายื่นหนังสือถึงผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรดอยสะเก็ด เพื่อทราบข้อเท็จจริงในส่วนที่สามารถให้ข้อมูลได้ กรณีนายหน้าของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในอำเภอเมืองเชียงใหม่ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ให้ดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่ศูนย์บริหารการทะเบียนภาค 5 สาขาจังหวัดเชียงใหม่ ฐานความผิด เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินฯ ซึ่งหากพบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดทางอาญาและเกี่ยวข้องกับการดำเนินการจัดทำทะเบียนประวัติและบัตรประจำตัวแรงงานต่างด้าวของเจ้าพนักงาน ทางนายบุญญฤทธิ์จะได้ไปให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวนเพื่อนำผู้กระทำความผิดมารับโทษตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ นายบุญญฤทธิ์กล่าวว่า ทั้ง 2 คดีที่มีการแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีนั้นถือว่ามีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันและเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน โดยคดีแรกผู้เสียหายเข้าแจ้งความเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 66 ให้ดำเนินคดีต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเรียกรับเงินจำนวนเบื้องต้น 3 คน ขณะที่คดีที่ 2 ที่ผู้เสียหายเข้าแจ้งความในวันที่ 20 ม.ค. 66 ให้ดำเนินคดีต่อหัวหน้าศูนย์บริหารการทะเบียนภาค 5 สาขาจังหวัดเชียงใหม่นั้น พบว่าผู้เสียหายที่เข้าแจ้งความเป็น 1 ใน 3 คนที่ถูกแจ้งความดำเนินคดีในคดีแรก ดังนั้นตัวเองในฐานะผู้ช่วยนายทะเบียนจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้ร่วมปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวด้วย จึงได้เข้ายื่นหนังสือถึงผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรดอยสะเก็ดเพื่อขอทราบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ซึ่งหากพบการกระทำความผิดจะยินยอมไม่ได้อย่างเด็ดขาด เนื่องจากในการปฏิบัติหน้าที่ราชการต้องไม่ยินยอมให้ผู้ใดอาศัยการปฏิบัติหน้าที่ไปเรียกผลประโยชน์ทั้งทางตรงหรือทางอ้อมทั้งสิ้นทุกกรณี








กำลังโหลดความคิดเห็น