นครพนม-“หมอหนู”ตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนโควิด -19 เอชเอ็กซ์พี– จีโอแวค ในอาสาสมัครชาวนครพนม 4,000 ชีวิต ผอ.องค์การเภสัชฯเผยหากผลการศึกษา เฟส 3ของวัคซีนเป็นที่น่าพอใจพร้อมจะขึ้นทะเบียน อย. ปี 66 เบื้องต้นองค์การเภสัชฯมีศักยภาพผลิตได้ราว 5-10 ล้านโดส และสามารถขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต
วันนี้( 23 ธ.ค.) ที่ศาลายงใจยุทธ ศาลากลางจังหวัดนครพนม อ.เมือง จ.นครพนม นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานแถลงข่าวและตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนโควิด -19 เอชเอ็กซ์พี – จีโอแวค (HXP – GPOvac) สำหรับโครงการวิจัยทางคลินิกระยะที่ 3โดยมีผู้ร่วมแถลงข่าวประกอบด้วย นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์ระจิต คณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นายแพทย์นคร เปรมศรี ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ นายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผอ.องค์การเภสัชกรรม
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ชนิด NDV-HXP-S สำหรับป้องกันโรคโควิด-19 ที่พัฒนาขึ้นโดยองค์การเภสัชกรรม (HXP-GPOVac) ขณะนี้ได้เข้าสู่การทลลองทางคลินิกระยะที่ 3 แล้ว เพื่อประเมินการใช้เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น ที่โรงพยาบาลนครพนม จังหวัดนครพนม ในวันที่ 23 ธันวาคม 2563 โดยการศึกษาครั้งนี้จะมีการทดสอบในอาสาสมัคร อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 4,000 คน ที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มหลักมาแล้วจำนวน 2 เข็ม
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ตั้งแต่เกิดการระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ 2019 องค์การเภสัชกรรมได้มีการปรับแพลตฟอร์มการผลิตวัคชีนจากไข่ไก่ฟักเพื่อให้รองรับการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในระดับอุตสาหกรรม โดยโครงการวัคซีนนี้เป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน PATH, Icahn School of Medicine at Mount Sinai (Icahn Mount Sinai) ยอร์ค, University of Texas at Austin (UT Austin) ประเทศสหรัฐอเมริกา และโรงงานผู้ผลิตวัคซีนใน 3 ประเทศ คือ บราชิล เวียดนาม และไทย วัคซีนต้นแบบดังกล่าว มีการพัฒนามาจากนวัตกรรมการตัดต่อไวรัสนิวคาสเซิล (Newcavirus, NDV) ให้มีการแสดงออกของ ไวรัสโคโรนาที่ได้ถูกปรับแต่งด้วยเทคโนโลยีเฮกซะโปร (HexaPro) ให้มีความคงตัวมากขึ้น
ซึ่งโปรตีนหนามนี้สามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันด้านโรคCOVID-19 ขึ้น เทคโนโลยีการผลิตวัคซีนชนิด NDV นี้ถูกพัฒนาขึ้นโดย Icahn Mount Sinai ในขณะที่ UT Ausin เป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยี HexaPro โดยทีมงานผู้พัฒนาโปรตีนหนามซึ่งถูกใช้เป็นพื้นฐานในวัคซีนโควิด-19 อย่างน้อย 4 ชนิดที่ใช้อยู่ทั่วโลกในปัจจุบัน และองค์การเภสัชกรรมเป็นผู้ผลิตวัคซีนวิชัยโควิด-19 ชนิด HXP-จาก seed virus ที่ได้รับจากโรงเรียนแพทย์ที่เมาท์ไซนาย (Icahn Mount Sinai) โดยใช้เทคโนโลยีฟัก เช่นเดียวกับที่ใช้ในการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ที่โรงงานผลิต(วัคชีน) ชีววัตถุ ขององค์การเภสัชกรรม ต.ทับกวาง อ.แก่งคอย จ.สระบุรี จังหวัดสระบุรี
จากข้อมูลการทคลองทางคลินิกระยะที่ 1 ในปี พ.ศ. 2564 และระยะที่ 2 ในปี พ.ศ. 2564-2565 วัคซีนที่ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรมนี้มีความปลอดภัยและสามารถกระดันภูมิคุ้มกันได้ดี และข้อมูล ดังกล่าวได้นำมาใช้ในการคัดเลือกสูตรที่เหมาะสมสำหรับการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 ต่อไป
นายเเพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวต่อว่า หากผลการศึกษาใน ในระยะที่ 3 เป็นที่น่าพอใจ จะสามารถขึ้นทะเบียนวัคซีนต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ในปี พ.ศ.2566 สามารถกระจายวัคซีนสู่ผู้ใช้ได้หลังจากนั้น โดยองค์การเภสัชกรรมมีศักยภาพในการผลิตวัคซีนดังกล่าว ประมาณ 5-10 ล้านโดส และสามารถขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต
ผอ.องค์การเภสัชกรรม ระบุอีกว่าวัคซีนเอชเอ็กซ์พี-จีพีโอแวค HXP-GPOVac ขององค์การเภสัชกรรม เป็นวัคซีนที่มีศักยกาพในการใช้เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นที่ผลิตได้เองในประเทศไทย ซึ่งทำให้ประชาชนไทยสามารถเข้าถึงวัดซีนได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะ ช่วยลดการะค่าใช้จ่ายในการนำเข้าวัคซีนจากต่างประเทศ และส่งเสริมให้เกิดความมั่นคงด้านวัคชื่น หากเกิดการระบาดในอนาคต ความสำเร็จของการวิจัยและพัฒนาวัคซีนนี้แสดงให้เห็นถึงการพึ่งพาตัวเองค้านวัคซีนของประเทศไทยอย่างยั่งยืนได้เป็นอย่างดี