บุรีรัมย์ - สถานธรรมฉงจี้กงที่ชาวจีนไต้หวันเป็นผู้ก่อตั้งแจงไม่เคยเรียกรับเงินหรือปลูกฝังให้มีความเชื่องมงายและทำพิธีผิดแปลกตามที่มีการร้องเรียนกล่าวหา ยันไม่เกี่ยวข้องกับสถานธรรมที่อุบลฯ และศรีสะเกษเพราะเป็นคนละสายธรรม เผยเน้นสอนทำความดีและเรื่องกฎแห่งกรรมบาปบุญคุณโทษ
วันนี้ (15 ธ.ค.) จากกรณีที่มีอดีตข้าราชการ และประชาชนที่เคยเข้าร่วมปฏิบัติธรรมยังสถานธรรมสายฟาอีแห่งหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งมีชาวจีนไต้หวันเป็นผู้ก่อตั้ง ได้ร้องเรียนให้ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าไปตรวจสอบพาสปอร์ตและจุดประสงค์ว่าชาวจีนไต้หวันดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทยเพื่ออะไร รวมถึงตรวจสอบเส้นทางการเงินของสถานธรรมดังกล่าว เพราะอาจจะมีการก่อตั้งสถานธรรมเพื่อฟอกเงินจากการทำธุรกิจสีเทาหรือไม่
ทั้งร้องเรียนว่าสถานธรรมแห่งนี้มีพฤติกรรมเรียกรับเงินจากผู้ที่หลงเชื่อเข้าร่วมปฏิบัติธรรมหรือรับฟังธรรมะเดือนละหลักล้านบาท ที่สำคัญ ยังมีการปลูกฝังความเชื่อที่ผิดแปลกงมงายเหนือธรรมชาติ โดยจะมีเตี๋ยนฉวนซือซึ่งเป็นชาวจีนไต้หวันมาทำพิธีใช้นิ้วจิ้มลักษณะเป็นการเจิมระหว่างคิ้ว เป็นการเปิดจุดญาณทวาร โดยอ้างว่าจะทำให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดทั้งหมด ทั้งยังสามารถฉุดช่วยบรรพชน 7 ชั้นที่ล่วงลับไปแล้ว และดวงวิญญาณลูกหลาน 9 ชั่วอายุคนให้หลุดพ้นด้วย โดยทุกคนที่ผ่านการทำพิธีจะมีบัตรผ่านขึ้นสวรรค์ไม่ต้องตกนรกหมกไหม้ ซึ่งมีคนหลงเชื่อจำนวนมาก
ล่าสุดวันนี้ (15 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปยังสถานธรรมดังกล่าวที่ถูกร้องเรียน โดยมีชื่อว่าสถานธรรม “ฉงจี้กง” ตั้งอยู่ตำบลอิสาณ อ.เมืองบุรีรัมย์ พบเป็นลักษณะสถานที่ปฏิบัติธรรมแบบอนุตตรธรรม ด้านหน้ามีรูปปั้นพระแม่กวมอิม เมื่อเข้าไปด้านในก็จะมีรูปปั้นของเจ้าแม่กวนอิม, เทพเจ้ากวนอู, ฮกล่กซิ่ว รวมถึงเทพเจ้าแปดเซียน และมีตู้รับบริจาคเป็นค่าใช้จ่ายในสถานธรรมคล้ายกับวัดไทยทั่วไป
จากการสอบถามนายไชยยศ ตันวุฒิบัณฑิต ผู้อำนวยการโรงเรียน “ฉงจี้” และดูแลสถานธรรมดังกล่าวด้วย ให้ข้อมูลว่า สถานธรรมแห่งนี้เกิดขึ้นจากความร่วมแรงร่วมใจของคนในพื้นที่ มีคนบริจาคที่ดินส่วนตัวซึ่งเป็นที่มรดกแล้วยกให้ใช้เป็นสถานที่ในการปฏิบัติธรรม ส่วนเงินในการก่อสร้างก็มาจากแรงศรัทธาของผู้คน ก็ก่อสร้างมาเรื่อยจนแล้วเสร็จเมื่อปี 2542 จากนั้นก็เป็นสถานที่สำหรับศึกษาธรรมมาตลอด และมีการก่อตั้งเป็นชมรมรักธรรมบุรีรัมย์ คือเป็นกลุ่มคนที่มีความคิดเดียวกัน รักสิ่งเดียวกันในการศึกษาธรรม และถือศีลกินเจ จนกลายเป็นแหล่งศึกษาหลักธรรมคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้ามาจนถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้ขอชี้แจงว่า สถานธรรมแห่งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ จ.อุบลราชธานี หรือ จ.ศรีสะเกษ ถึงแม้จะเป็นอนุตตรธรรมเหมือนกันแต่เป็นคนละสายธรรม ส่วนสาเหตุที่มีผู้ไปร้องเรียนก็เชื่อว่าน่าจะมาจากปัญหาส่วนตัว หรือปัญหาในครอบครัว ซึ่งเขาอาจจะไม่ได้ตามสิ่งที่เขาต้องการ เพราะการที่เขาได้เข้ามาศึกษาธรรมะที่สถานธรรมแห่งนี้นานถึง 10 ปี ก็เชื่อว่าเขาคงไตร่ตรองและใช้วิจารณญาณดีแล้ว เพราะเขาก็เป็นผู้มีความรู้เป็นถึงอดีตข้าราชการ ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเพิ่งออกมาร้องเรียนตอนนี้ ทั้งที่เข้ามาสัมผัสนานถึง 10 ปีแล้ว จึงเชื่อว่าน่าจะเป็นปัญหาส่วนตัวของเขามากกว่า ประกอบกับมีกระแสที่ จ.อุบลราชธานี ก็คงจะเกาะกระแสมาร้องเรียนด้วย ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลย
ส่วนที่มีการร้องเรียนว่าสถานธรรมแห่งนี้ ซึ่งมีชาวจีนไต้หวันเป็นผู้ก่อตั้ง อาจจะมีการฟอกเงินหรือไม่นั้น ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ถึงแม้ชาวจีนไต้หวันจะเป็นผู้ก่อตั้งและเข้ามาเผยแผ่ธรรมะในตอนแรก แต่ทุกวันนี้คนในพื้นที่ก็ดูแลจัดการกันเอง ส่วนที่กล่าวหาว่ามีการเรียกรับเงินนั้นขอชี้แจงว่าเป็นการทำบุญตามศรัทธาเหมือนเวลาที่เราไปวัดทำบุญ โดยผู้ที่เข้าร่วมรับธรรมะก็จะร่วมบริจาคคนละ 100 บาท เงินดังกล่าวก็นำไปเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าพิมพ์หนังสือธรรมะแจกจ่ายเป็นธรรมทาน
ส่วนเรื่องการทำพิธีถอนชื่อจากบัญชีนรก นั้น เป็นเพียงกุศโลบาย ที่ต้องการสอนเรื่องกฎแห่งกรรม บาปบุญคุณโทษ ให้เชื่อในเรื่องการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หากใครทำดีก็ได้ขึ้นสวรรค์ ทำไม่ดีก็ตกนรก ซึ่งกรณีที่มีการร้องเรียนก็พร้อมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบเพราะยืนยันในความบริสุทธิ์ใจ
ด้าน ป้าพยวง ประพินอักษร อายุ 77 ปี ชาว จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นผู้บริจาคที่ดินให้ก่อตั้งสถานปฏิบัติธรรมดังกล่าวบอกว่า ที่บริจาคที่ดินให้เพราะมีความศรัทธาไม่มีใครบังคับ ทุกวันนี้ก็มาทำขนม ทำอาหารไปขาย เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในสถานธรรม ก็เหมือนกับการใช้แรงกายเป็นทาน ก็ทำด้วยความสมัครใจและศรัทธา ยอมรับว่าตอนแรกที่เข้ามาเพราะมีปัญหากับสามี พอได้เข้ามารับธรรมะที่นี่ใจก็สงบขึ้น จึงได้พาสามีเข้ามาร่วมรับธรรมะด้วย เขาก็เริ่มกลับตัวกลับใจเลิกเหล้า บุหรี่ กลายเป็นคนใจเย็นมีเหตุผลมากขึ้น ซึ่งที่นี่เขาจะสอนให้ใช้สติในการดำเนินชีวิตไม่ได้มีพิธีกรรมที่ผิดแปลกตามที่ร้องเรียน
นอกจากมาที่นี่ยังไปวัดทำบุญกฐิน ผ้าป่าปกติ ส่วนที่มีการจ่ายเงินนั้นก็จะมีการจ่ายจริงครั้งละ 200 บาท เหมือนเวลาที่เราไปทำบุญที่วัดก็ต้องซื้อสิ่งของหรือสังฆทานไป ที่นี่เขาก็จะซื้อผลไม้สำหรับไหว้เทพเจ้า ที่เหลือก็เก็บไว้จัดพิมพ์หนังสือแจก และคนที่มาก็สมัครใจจ่ายไม่มีการเรียกรับหรือบังคับอะไรเลย