สมุทรสงคราม - ครูยุ่นอึ้ง หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งเพิ่ม 2 ข้อหาตาม พ.ร.บ.ค้ามนุษย์ เผยเสียใจ ไม่เข้าใจว่าโดน พ.ร.บ.ค้ามนุษย์ได้อย่างไร พร้อมสู้ตามกระบวนการยุติธรรมในฐานะพลเมืองคนหนึ่ง
วันนี้ (2 ธ.ค.) นายมนตรี สินทวิชัย หรือครูยุ่น อดีต ส.ว.สมุทรสงคราม เลขาธิการมูลนิธิคุ้มครองเด็ก ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ปิยะชัย มั่นคง รองผู้กำกับสอบสวน สภ.อัมพวา รับทราบข้อหาค้ามนุษย์เพิ่มเติม หลังจากก่อนหน้านี้ ได้ถูกแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายเด็กในมูลนิธิไปแล้ว 1 ข้อหา โดยมีนายแก้วสรร อติโพธิ ประธานมูลนิธิคุ้มครองเด็ก เเละนาย กฤษฎางค์ นุตจรัส ในฐานะทนายความครูยุ่น เดินทางมาด้วย โดยทั้ง 3 คน ได้เข้าให้ปากคำ และไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าฟัง
โดยก่อนเข้าห้องสอบสวน นายมนตรี หรือครูยุ่น กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ตนคาดไม่ถึงว่าจะถูกกล่าวหาตาม พ.ร.บ.ค้ามนุษย์ ในชีวิตตนไม่เคยคิดเพราะทำงานเกี่ยวกับคน และถือมากเรื่องสิทธิของชาวบ้าน ยอมรับว่าเสียใจมาก แต่ตนเองมีสิทธิที่จะต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมในฐานะพลเมืองคนหนึ่ง ซึ่งตนเองยังมีความหวังกับสังคมนี้ว่าอยากเห็นอะไรที่มันดีงาม และเห็นรถรับส่งนักเรียนไปโรงเรียนทุกวัน เด็กๆ แต่งตัวไปโรงเรียน เด็กๆ เข้าวัด เข้าสวนอย่างอิสระ ตนเชื่อว่าหลายคนก็เห็น จึงยืนยันได้ว่าเท่าที่ประชาชนเห็นสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่กักกันแน่นอน
“อาจรู้สึกเข็ด แต่งานที่เกี่ยวกับสังคมคงทำต่อไป เดินมาตรงนี้ตลอดชีวิตตั้งแต่นุ่งกางเกงขาสั้นเดินสนามหลวง ผ่านมาแต่ละช่วงแต่ละวัยรู้สึกดีมาถึงวันนี้ อีกทั้งเมื่อเป็น ส.ว.ใช้ประสบการณ์ทั้งชีวิตไปทำหน้าที่ ไม่ต้องให้บอกว่าตนเองทำหน้าที่อย่างไร ให้ไปตรวจสอบการทำงานของตนว่าเป็นอย่างไร เคยใช้ตำแหน่งหน้าที่เหนือชาวบ้านหรือเปล่า ส่วนที่ถามว่าการถูกแจ้งข้อหาค้ามนุษย์เป็นการกลั่นแกล้งไหม นั่นเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่เขาต้องทำ แต่สังคมจะตัดสินอย่างไรว่าการตั้งข้อหาค้ามนุษย์ถูกต้องหรือไม่”
ด้านนายแก้วสรร อติโพธิ กล่าวว่า ตนเป็นประธานมูลนิธิคุ้มครองเด็กมากว่า 10 ปี คนอย่างตนเองเห็นเด็กถูกบังคับ ขู่เข็ญคงไม่ยอม ที่ตนเองรักครูยุ่น เพราะครูยุ่นรักเด็ก ส่วนรีสอร์ตที่ถูกกล่าวหาว่านำเด็กไปใช้แรงงานตนเองเคยเข้าไปบ่อยครั้ง เห็นเด็ก 2-3 คน มีความสุขดี เก็บใบไม้ เช็ดกระจก ยกจาน ได้ทิปก็ดีใจ ซึ่งจะมาเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ เพราะวันธรรมดาต้องเรียนหนังสือ ตนเองไม่เข้าใจว่าที่หาว่าบังคับเด็กบังคับอย่างไร
ดังนั้น พนักงานมอบสวนต้องว่าไปตามข้อเท็จจริง ที่ผ่านมา ทำเหมือนว่าพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาให้ครูยุ่น ไปสู้และไปหลุดที่ศาล ทั้งที่หน้าที่หาความบริสุทธิ์อยู่ที่พนักงานสอบสวน การทำร้ายร่างกายกับการทำโทษมันคนละเรื่องกัน ขนาดครูตีเด็กยังไม่ติดคุกหากเกินกว่าเหตุโดนดำเนินการทางวินัย ตนเองมองว่าถ้าครูยุ่น จะผิดจริงคือผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก ว่าลงโทษเด็กเกินสมควรหรือไม่ โทษแรงขนาดไหนก็ว่ากันไปตามนั้น แต่มากล่าวหาว่าทำร้ายร่างกายโอเวอร์เกินไป
นายแก้วสรร กล่าวถึงกรณียื่นอุทธรณ์คำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตมูลนิธิ ว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีเวลา 60 วันในการพิจารณา ตนเองมองว่าประเด็นไม่ยาก ข้อกฎหมายทั้งนั้น 2 วันก็สั่งได้แล้ว หากไม่ถูกต้องตนเองก็ฟ้องศาล ส่วนประเด็นการเพิกถอนใบอนุญาตอยู่ที่เขาตั้งต้นผิด กล่าวหาทำร้ายร่างกายอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่สามารถเอาผิดได้ เนื่องจากเป็นการทำโทษ จึงหันมาหาเรื่องอื่นเพื่อออกคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาต เพราะรับเด็กอายุไม่ตรงกับใบอนุญาต
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบตามอำเภอใจของท่านที่เป็นการใช้อำนาจผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะถ้าบุคลากรสถานสงเคราะห์กระทำไม่ถูกต้องจะสั่งตักเตือนก็ได้ สั่งให้เปลี่ยนตัว พักหน้าที่ก็ได้ หรือถึงขนาดเข้าควบคุมบริหารแทนก็ได้ ทางเลือกที่กล่าวมาทั้งหมดถูกท่านละทิ้งไป ซึ่งทุกขั้นตอนเท่าที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่สุจริต ไม่ตรงต่อวัตถุประสงค์ที่กฎหมายได้ให้อำนาจไว้ทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม วัตถุประสงค์บ้านพักเด็กต้องการให้พัฒนาและช่วยเหลือเด็ก และอีกหลายอย่าง ดังนั้น ในอนาคตอาจจะสงเคราะห์เด็กเล็กๆ ส่วนเด็กโตมีปัญหาใส่ร้ายกันแบบนี้คงไม่เอา ซึ่งตนขอปรึกษากันก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากสอบปากคำแล้ว ตำรวจแจ้งข้อหาเพิ่มเติมอีก 2 ข้อหา คือ บังคับใช้แรงานเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี และใช้แรงงานเด็กอายุเกิน 15 ปีแต่ไม่ได้ค่าแรงขั้นต่ำ ตาม พ.ร.บ.ค้ามนุษย์ กรณีนำเด็กไปทำงานที่รีสอร์ต หลังจากก่อนหน้านี้ ตำรวจได้แจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายเด็กไปแล้ว 1 ข้อหา ซึ่งทั้งหมดครูยุ่น ให้การปฏิเสธทุกข้อหา และพนักงานสอบสวนได้ปล่อยตัวครูยุ่น โดยไม่ได้ให้มีการประกันตัวแต่อย่างใด เนื่องจากเป็นการเข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก
