ร้อยเอ็ด - ภูมิหลังหนุ่มใหญ่เจอทุกขลาภ ถูกหวยรางวัลที่ 1 โอนเข้าบัญชีเมียที่อยู่ร่วมกันมา 26 ปีมีลูก 3 คนสุดท้ายถูกเชิดเงินหนีไปกับชู้ เรื่องยังไม่จบแค่นี้เพราะแท้จริงเมียนอกใจรายนี้ยังมีผัวอีกคนเป็นอดีตทหารพิการที่จดทะเบียนสมรสพักอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน ล่าสุดบอกให้กลับมาเซ็นใบหย่า จากนั้นจะไปกับผัวคนไหนก็แล้วแต่
ผู้สื่อข่าวเดินทางลงพื้นที่เพื่อติดตามความคืบหน้ากรณี นายมะนิช ปราณี อายุ 49 ปี ชาวบ้านคางฮุง ม.5 ต.ธวัชบุรี อ.ธวัชบุรี พร้อมญาติและลูก 3 คน ปรึกษากับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าถูกนางอังคนารัตน์ กลั่นมณี อายุ 45 ปี ซึ่งเป็นภรรยาที่อยู่กินกันมา 26 ปี ได้หนีตามผู้ชาย หรือชายชู้ ไป พร้อมกับสมุดบัญชีธนาคาร ธ.ก.ส.สาขาธวัชดินแดง ที่มีเงินจากการถูกสลากกินแบ่งรัฐบาล รางวัลที่ 1 งวดประจำวันที่ 1 พ.ย. 65 ไปด้วย
เมื่อไปถึงบ้านหลังดังกล่าว ปรากฏว่าไม่พบผู้เสียหายและลูก พบเพียง นายเพ็ญ แต้ธวัช พี่ชายของ นางอังคนารัตน์ กลั่นมณี และนายสัมฤทธิ์ หาญอาสา อาของนางอังคนารัตน์ กำลังให้ปากคำต่อ พ.ต.ท.สมศักดิ์ เกตุพิบูลย์ สารวัตรสอบสวน สภ.ธวัชบุรี ซึ่งเดินทางมาสอบปากคำที่บ้าน
ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า นายมะนิช ปราณี อายุ 49 ปี สามีของนางอังคนารัตน์ และลูกชาย เดินทางไปออกรายการโหนกระแสที่ กทม. มีเพียงญาติ และมีเพียง จ.ส.อ.เทิดศักดิ์ ปิ่นมณี อดีตทหารนอกราชการ สามีอีกคนของนางอังคนารัตน์ อยู่เฝ้าบ้าน และให้รายละเอียดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า
เดิมที นายมะนิช เป็นสามีของนางอังคนารัตน์ อยู่กินกันมา 26 ปี มีลูกชาย 2 คน และลูกสาว 1 คน อยู่ในบ้านหลังนี้ แต่ต่อมาเมื่อราว 10 ปีก่อน นางอังคนารัตน์ได้ขอให้นายมะนิชเซ็นใบหย่า เพื่อให้ จ.ส.อ.เทิดศักดิ์ อดีตทหารนอกราชการ มาจดทะเบียนสมรสแทน ซึ่งตามข้อตกลงอดีตทหารนอกราชการรายนี้ต้องช่วยเหลือค่าใช้จ่ายครอบครัว และช่วยส่งเสียลูกๆ เรียนหนังสือ
โดยให้แยกห้องนอนคนละห้องในบ้านหลังเดียวกันกับนามะนิช ทั้ง 3 พร้อมลูกๆ ของนายมะนิชและนางอังคนารัตน์อยู่ร่วมชายคาเดียวกันโดยไม่มีปัญหากระทบกระทั่งกันแต่อย่างใด
จนกระทั่งมาเกิดเหตุอื้อฉาวขึ้น หลังจากที่ นายมะนิชถูกรางวัลที่ 1 เมื่องวดวันที่ 1 พ.ย. 65 ที่ผ่านมา หลังจากไปรับเงินที่กองสลากเข้าในบัญชีธนาคาร ธ.ก.ส.ของภรรยาคือนางอังคนารัตน์ แล้วจัดงานทำบุญขึ้นในบ้าน โดยช่วงที่ทำบุญบ้าน จู่ๆ ก็มีผู้ชายที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อนเลย ปรากฏตัวขึ้น มาช่วยงานและมากินนอนภายในบ้าน ถามก็อ้างว่าเป็นญาติกับฝ่ายสามีที่เป็นอดีตทหารนอกราชการ ถามทางอดีตทหารฯ ก็บอกว่าไม่รู้จัก ฝ่ายภรรยาก็อ้างว่าเป็นญาติเดินทางมาจากต่างจังหวัด จนกระทั่งงานเสร็จ ปรากฏว่าหนุ่มแปลกหน้าคนดังกล่าวหายตัวไปพร้อมกับนางอังคณา พร้อมกับสมุดบัญชีที่มีเงินฝากอยู่ร่วม 4 ล้าน 9 แสน 3 หมื่นบาทไปด้วย ต่างมาทราบทีหลังว่าชายคนนี้เป็นสามีคนใหม่ของนางอังคณาที่รู้จักกันผ่านเฟซบุ๊ก ทั้งคู่หอบเงินหนี ทิ้งสามี 2 คน และลูก 3 คน ไปอย่างไร้เยื่อใย
ในขณะที่ จ.ส.อ.เทิดศักดิ์ กลั่นมณี อดีตทหารนอกราชการ กล่าวยอมรับว่าตนเป็นสามีที่จดทะเบียนถูกต้องจริง ด้วยความยินยอมของทั้ง นายมะนิช ปราณี และลูก 3 คน โดยตนตั้งใจเข้ามาดูแลค่าใช้จ่ายทุกอย่างให้กับครอบครัวนางอังคนารัตน์ พร้อมกับส่งเสียลูกๆ เรียนหนังสือ และหากตนเสียชีวิตก็ยินดีมอบเงินบำนาญทั้งหมดเพื่อดูแลนางอังคนารัตน์และลูกๆ ข้อตกลงนี้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย แต่คาดไม่ถึงว่านางอังคนารัตน์จะแอบมีคนอื่นอีก ซึ่งเมื่อเป็นไปแล้วก็ไม่ว่าอะไร ขออย่างเดียวคือให้กลับมาเซ็นใบหย่าให้ถูกต้อง ตนก็พร้อมที่จะให้ไปโดยไม่ติดใจอะไรถ้าจะมีคนใหม่
“ต้องมาหย่าให้มันจบ เพื่อจะได้ไม่ติดพันกัน และทำอะไรก็จะไม่ต้องมาเกี่ยวข้องในฐานะผัวเมียตามกฎหมายกันอีก โดยผมไม่ติดใจเรื่องเงินที่ถูกรางวัลที่ 1 แต่อย่างใด เพราะไม่ต้องการเงินนั้นอยู่แล้ว แต่ต้องการให้ทุกอย่างจบๆ กันไป” จ.ส.อ.เทิดศักดิ์กล่าว
ทางด้านนายเพ็ญ แต้ธวัช พี่ชายของ นางอังคนารัตน์ กลั่นมณี และนายสัมฤทธิ์ หาญอาสา อาของนางอังคนารัตน์ที่หนีไปกับชายชู้ กล่าวว่า ขอให้กลับมาตกลงกัน ให้นำเงินที่ถูกรางวัลที่ 1 จำนวน 6 ล้านบาท แบ่งกันคนละครึ่ง เพื่อให้สามีคนแรก ไว้ใช้ดูแลลูกๆ และครอบครัว แล้วค่อยไปอยู่กับวามีใหม่ ทุกคนก็ยินดีที่จะไม่เอาเรื่องและไม่ติดใจ ขอให้กลับมาตกลงกันให้จบแล้วค่อยไป ทุกคนรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ โดยจะไม่ติดใจ
พ.ต.ท.สมศักดิ์ เกตุพิบูลย์ สารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจภูธรธวัชบุรี กล่าวว่า กรณีเมื่อวานนี้นายมะนิชแจ้งว่าจะขออายัดบัญชีของภรรยาที่หนีไปพร้อมกับหอบเงินไปหมด เบื้องต้นตนชี้แจงว่าไม่สามารถอายัดเงินในบัญชีได้ เพราะเป็นชื่อของผู้หญิงคนเดียว และไม่มีการจดทะเบียนสมรส และแนะนำให้ลงบันทึกเหตุไว้เป็นหลักฐาน แต่เจ้าตัวไม่ประสงค์จะลงบันทึกประจำวัน หลังจากนั้นได้เดินทางกลับ
อย่างไรก็ตาม หากนายมะนิชเดินทางกลับจากกรุงเทพฯ ให้ไปพบพนักงานสอบสวนที่ สภ.ธวัชบุรีด้วย เพื่อที่จะช่วยกันหาทางออกของปัญหา จะต้องศึกษาข้อเท็จจริงว่าการกระทำของนางอังคนารัตน์นั้นเข้าข่ายยักยอกทรัพย์หรือไม่อย่างไรต่อไป