เชียงใหม่ - รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ ขับเคลื่อนการยกระดับสหกรณ์เป็นผู้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ดำเนินการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล ชูสหกรณ์การเกษตรยั่งยืนแม่ทาเป็นต้นแบบบริหารจัดการที่ดินทำกินตามแนวทาง คทช. มุ่งหวังคนไทยใช้ประโยชน์ที่ดินได้อย่างเท่าเทียม
วันนี้ (11 พ.ย. 65) ที่สหกรณ์การเกษตรยั่งยืนแม่ทา จำกัด ตำบลแม่ทา อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะ ลงพื้นที่ขับเคลื่อนการยกระดับสหกรณ์เป็นผู้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ในพื้นที่ดำเนินการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) พร้อมเยี่ยมชมสวนเกษตรอินทรีย์ และฟาร์มปศุสัตว์โคนม ซึ่งเป็นกลุ่มสหกรณ์ต้นแบบในการแก้ไขปัญหาที่ดินและที่อยู่อาศัย นำไปสู่การใช้ประโยชน์ที่ดินได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และเต็มศักยภาพ
ทั้งนี้ กลุ่มสหกรณ์การเกษตรยั่งยืนแม่ทา ได้ผ่านเกณฑ์ความเข้มแข็งของสหกรณ์ และได้รับการยกระดับสหกรณ์เป็นผู้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบการปรับเปลี่ยนให้ผู้ขอใช้ประโยชน์การอยู่อาศัยและทำกินในป่าสงวนแห่งชาติ จากผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นสหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน หรือกลุ่มเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนต่อหน่วยงานของรัฐในพื้นที่
ส่งผลให้มีราษฎรได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 1,374 ราย ที่ดินทำกิน 2,693 แปลง โดยผู้อยู่อาศัยบนที่ดินทำกินได้รับการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพ ปัจจุบันสหกรณ์การเกษตรยั่งยืนแม่ทามีสมาชิก 697 ครัวเรือน ทุนดำเนินการประมาณ 6 ล้านบาท เน้นส่งเสริมการเกษตรอินทรีย์ สร้างรายได้ให้ประชาชนในพื้นที่ บนพื้นที่ 400 ไร่ สามารถให้ผลผลิตได้ประมาณ 300 ตัน เป็นมูลค่า 12 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการบริหารจัดการสหกรณ์ที่มีผลสำเร็จเชิงประจักษ์และเป็นแบบอย่างแก่กลุ่มสหกรณ์อื่น
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลมีความตั้งใจในการแก้ปัญหาที่ดินทำกิน เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์หรืออยู่อาศัยจากผืนแผ่นดินนี้ร่วมกันอย่างเท่าเทียม การดำเนินงานของ คทช.ถือเป็นการขับเคลื่อนสำคัญที่จะทำให้บรรลุตามเป้าหมายของนโยบายการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน พร้อมชื่นชมสหกรณ์การเกษตรยั่งยืนแม่ทา จำกัด ที่เป็นต้นแบบการบริหารงานสหกรณ์ ที่สามารถสร้างแรงจูงใจให้แก่ชุมชนอื่นในพื้นที่ และสามารถขยายผลนโยบายนี้ในภาพรวมต่อไป