มหาสารคาม - ชาวบ้านร่วม 100 คนรวมตัวหอบเอกสารเข้าแจ้งความตำรวจวาปีปทุม หลังถูกกลุ่มกองทุนฌาปนกิจหลอกทำสัญญากองทุนสูญเงินนับล้าน แฉตั้งกองทุนฌาปนกิจขึ้นมา 3 กลุ่มแล้วหว่านล้อมชาวบ้านทำสัญญากองทุนต้องจ่ายเงินแรกเข้ากว่าพันบาทและจ่ายรายเดือนอีก มีสมาชิกกว่าหมื่นราย แต่สมาชิกตายกลับไม่ได้รับเงินสักบาท
ที่ สภ.อำเภอวาปีปทุม อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม ชาวบ้านในจังหวัดมหาสารคามประมาณ 100 คนรวมตัวนำเอกสารเข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังจากชาวบ้านได้ถูกกลุ่มกองทุนฌาปนกิจ 3 กลุ่มหลอกทำสัญญากองทุน อ้างว่าจะได้รับเงินหลังจากเสียชีวิต ล่าสุดทีมทนายได้ลงพื้นที่ช่วยชาวบ้านที่ตกเป็นเหยื่อฌาปนกิจ และเดินหน้ายื่นหนังสือ ภาค 4 โดยมีผู้เสียหายนำเอกสารยื่นต่อทนายและนำเอกสารเข้าแจ้งความ
ร้อยตรี ชัชวาลย์ บำรุงวงศ์ เครือข่ายทนายใจดี เปิดเผยว่า มีผู้เสียหายในพื้นที่จังหวัดมหาสารคามมาร้องเรียนต่อตนหลายราย โดยผู้เสียหายได้ไปทำสัญญากับกลุ่มกองทุนฌาปนกิจ 3 กลุ่ม โดยผู้ที่เข้าเป็นสมาชิกกองทุนนี้มีการจ่ายเงินแรกเข้าจำนวน 1,150 บาท และ 1,170 บาท และเมื่อมีการจ่ายเงินแล้วก็จะมีการจ่ายรายเดือนเดือนละ 300-350 บาทไปเรื่อยๆ หากสมาชิกหรือคนที่มีชื่อในกองทุนนั้นเสียชีวิตจะได้เงินชดเชยจำนวน 200,000 บาทต่อราย ทำให้มีผู้เสียหายหลงเชื่อ
ซึ่งจากการเช็กยอดสมาชิกกองทุนนี้ ล่าสุดมีสมาชิกทั้งหมดร่วมหมื่นราย โดย กองทุนที่ 1 มีสมาชิก 4,000 ราย กองทุนที่ 2 มีสมาชิก 4,000 ราย กองทุนที่ 3 มีสมาชิก 2,500 ราย รวมทั้งหมดมีจำนวน 10,500 คน
สำหรับ 3 กองทุนนี้มีการเก็บเงินแรกเข้าจำนวนสิบล้านบาท และยังไม่รวมที่มีการเก็บเงินสมาชิกรายเดือนอีกนับล้านบาท ตนได้รับการประสานงานจากตัวแทนชาวบ้านใน อ.วาปีปทุม ว่าได้รับความเสียหายจากการถูกหลอกให้เข้ากองทุนฌาปนกิจ ภายหลังจากที่จ่ายเงินไป แล้วพอมีคนเสียชีวิตก็ไม่ได้รับเงินปันผลตามที่ได้ตกลงกันหรือตามที่ประกาศเอาไว้
เบื้องต้นมีการรวบรวมรายชื่อผู้เสียหายได้จำนวน 600 ราย และได้มีการแจ้งความไว้แล้วบางส่วนที่ สภ.วาปีปทุม จากการตรวจสอบข้อมูลขอทราบว่ากองทุนต่างๆ นี้มีการทำอยู่ประมาณ 3 กองทุน โดยกองทุนแรกมีการตั้งที่จังหวัดร้อยเอ็ดและกระจายไปหลายที่จนสุดท้ายมาอยู่ที่อำเภอวาปีปทุม จ.มหาสารคาม จากการวิเคราะห์แล้วมีความผิดเข้าข่ายในการฉ้อโกงหลอกลวงประชาชนเพราะว่าได้รับเงินของชาวบ้านไปแล้วแต่เมื่อมีการเสียชีวิตเขาไม่ได้เงิน
มีการซื้อเวลาโดยการให้เงินหลักหมื่นบาทแก่สมาชิกไปก่อนเพื่อประวิงเวลาความเสียหาย ลักษณะนี้คือการตั้งกองทุนเมื่อได้เงินจากชาวบ้านแล้วจะมาแจ้งกองทุนชาวบ้านว่ากองทุนนั้นเจ๊ง และยุบกองทุนไปแล้วก็ไปตั้งกองทุนใหม่ เมื่อเก็บเงินชาวบ้านแล้วก็จะมาบอกกับชาวบ้านว่าเจ๊งอีก วนเวียนไปอย่างนี้ จนล่าสุดที่มหาสารคามกำลังเป็นกองทุนที่ 3
ทั้งนี้ ตนมีเอกสารการเรียกเก็บเงินหลักฐานบิลการเก็บเงินซึ่งมีทั้งชื่อของผู้ที่เป็นประธานลงนาม มีผู้ที่เก็บเงินเซ็นกำกับไว้เป็นหลักฐานและผู้ที่รับเงิน และยังมี statement ของการโอนเงิน มีการตั้งสมาชิกเป็นสายๆเพื่อเก็บเงินสมาชิกในกองทุน มีตัวแทนที่หาสมาชิกและตัวแทนที่หาสมาชิกจะทำการเก็บรวบรวมเงินจากสมาชิกทั้งหมดและไปโอนเงินให้กับตัวคนที่อยู่ในกลุ่ม ตอนนี้เราทราบแล้วว่ามีผู้ร่วมขบวนการเบื้องต้นหลักๆ 3 ราย แต่ในอนาคตจะมีการสืบโยงหาผู้กระทำผิดซึ่งเชื่อว่ามีมากกว่านั้น
กองทุนนี้เท่าที่เราทราบมาเป็นการตั้งขึ้นมาแบบเถื่อนไม่มีการจดทะเบียนทั้ง 3 กองทุน ฉะนั้นเมื่อไม่มีการจดทะเบียนจึงถือเป็นการหลอกลวงประชาชน เมื่อได้เงินไปแล้วการที่เจ๊ง เจ๊งเพราะอะไร เพราะมีคนตายเยอะแล้วเอาเงินไปจ่ายแล้วไม่เพียงพออันนี้พอรับได้ แต่ถ้าเกิดว่าเจ๊งเพราะว่ามีการอุปโลกน์หรือมีการเอาเงินไปใช้ในการส่วนตัว อันนี้จะเข้าข่ายการฉ้อโกงประชาชน หากลงรายละเอียดจะมีผู้เสียหายสูญเงินหลักพันถึงหลักหมื่นบาท
ด้านนายไพบูลย์ แสนเพ็งแคน ผู้เสียหาย ชาวอำเภอเชียงยืน เปิดเผยว่า มีคนรู้จักแนะนำให้สมัครเป็นสมาชิกกองทุนนี้ ซึ่งเป็นชมรมฌาปนกิจช่วยเหลือผู้สูงอายุคนเฒ่าคนแก่ ถ้าบาดเจ็บ เสียชีวิต ล้มตาย จะได้ค่าตอบแทนประมาณ 200,000 บาท และมีการชวนคนในหมู่บ้าน คนที่รู้จักในครอบครัวมาสมัคร และมีการจ่ายค่าแรกเข้าและจ่ายเงินสมทบรายเดือนเรื่อยๆ ทั้งนี้ คนที่มาสมัครกองทุนนี้เป็นผู้สูงอายุ ซึ่งทำประกันชีวิตไม่ได้เนื่องจากมีอายุเกิน ตามเงื่อนไขจึงมาสมัครสมาชิกชมรมฌาปนกิจนี้ ซึ่งมีการจ่ายเงินมา 1-2 ปีแล้วแต่มารู้พักหลังว่าชมรมถูกยุบไป แต่ยังมีการเรียกเก็บเงินทุกเดือน
โดยจะมีตัวแทนไปเก็บเงินตามหมู่บ้าน ซึ่งตนก็จ่ายไปโดยหวังว่าจะได้ผลประโยชน์ตอบแทน แต่เมื่อมาระยะหลังมีสมาชิกที่เสียชีวิตไปแล้วไม่ได้เงินตามที่ตกลงกันไว้ จึงรวมกลุ่มกันมาร้องทุกข์ โดยมีทีมงานทนายใจดีได้ยื่นมือเข้ามาช่วยตนและพวกชาวบ้าน
ทั้งนี้ ตนก็หวังว่าจะได้เงินคืนเพราะเป็นเงินบั้นปลายชีวิตที่ตนและชาวบ้านหลายรายต่างเก็บหอมรอมริบกันมาเพื่อจะได้ใช้จ่ายในวาระสุดท้ายของชีวิต ตนไม่ได้เรียกร้องอะไรเพิ่มเติมในการเสียโอกาส ขอเพียงพวกตนได้เงินต้นคืน เท่านั้นก็พอใจแล้ว
ยิ่งในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ เงินทองก็หายาก การที่จะมาหลอกลวงกันแบบนี้ก็ถือว่าก่อความลำบากสร้างความทุกข์ให้แก่ชาวบ้านด้วยกัน แต่ถ้าไม่ได้เงินคืนก็ไม่รู้ว่าในอนาคตพวกตนจะมีเงินค่าทำศพ ค่าจัดการตนเองหากเจ็บตายขึ้นมาหรือไม่ เพราะทั้งครอบครัวตนรวมถึงญาติพี่น้อง หากลงรายละเอียดความเสียหายแต่ละคนจะมีถึงหลักพันถึงหลักหมื่นบาท รวมแล้วก็หลายแสนบาทเหมือนกัน