บุรีรัมย์ - ร่ำไห้วอนช่วยเหลือ หญิงวัย 41 ชาวบ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ เครียดจัดถึงขั้นคิดสั้นหลังนำโฉนดบ้านและที่ดินรวม 18 ไร่ ไปทำสัญญาขายฝากกับนายทุนเพื่อเอาเงินใช้หนี้ธนาคารที่กู้มาลงทุนทำธุรกิจกับอดีตสามีก่อนเลิกราทิ้งให้ใช้หนี้คนเดียว สุดท้ายกลับถูกเปลี่ยนเป็นชื่อของนายทุนและถูกฟ้องขับไล่ออกจากบ้านตัวเองภายใน 4 มี.ค.นี้ ไม่รู้จะพาแม่ชราวัย 76 ปี ลูก 2 คน และหลานอีก 1 คน ไปอยู่ไหน
วันนี้ (1 มี.ค. ) นางกชพร เจือจันทร์ อายุ 41 ปี ชาวอำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ได้ออกมาร้องขอความช่วยเหลือทั้งน้ำตา หลังจากนำโฉนดที่ดิน 2 แปลง คือ แปลงสวนยางพารา 15 ไร่ และแปลงบ้านพร้อมที่ดินที่อาศัยอยู่กับครอบครัวในปัจจุบันอีก 3 ไร่ รวมทั้งหมด 18 ไร่ ไปทำสัญญาขายฝากไว้กับนายทุนรายหนึ่งในราคา 1,050,000 บาท เมื่อปลายปี 2557 แต่ต่อมาพบว่านายทุนได้ระบุยอดขายฝากในสัญญาเป็น 1,500,000 บาท และพอปลายปี 2558 พบว่าที่ดินทั้ง 2 แปลงได้ถูกเปลี่ยนเป็นชื่อของนายทุนที่รับขายฝากแล้ว
จากนั้นนายทุนให้ทำสัญญาเช่าอยู่อาศัยในบ้านของตัวเองเดือนละ 500 บาท แต่นางกชพรจ่ายค่าเช่าไม่ต่อเนื่องเพราะมีปัญหาเรื่องสุขภาพทำงานไม่ได้ ทั้งมีภาระต้องดูแลแม่ที่ชราวัย 76 ปี ลูก 2 คน และหลานอีก 1 คนด้วย จนถูกนายทุนฟ้องขับไล่ออกจากบ้านที่อาศัยอยู่กับครอบครัว โดยศาลมีคำสั่งให้ย้ายออกจากบ้านภายในวันที่ 4 มี.ค. 2565 ที่จะถึงนี้ ไม่รู้ว่าจะพาแม่และลูกหลานไปอยู่ที่ไหน เครียดถึงขั้นเคยคิดสั้นหนีปัญหาแต่สงสารแม่ และลูกหลาน
นางกชพรบอกว่า สาเหตุที่ต้องนำโฉนดบ้านและที่ดินไปขายฝากกับนายทุน เนื่องจากเมื่อ 9 ปีก่อนตอนที่ตนยังอยู่กับสามีเก่า ซึ่งทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส.แห่งหนึ่ง เปิดลานรับซื้อยางก้อนถ้วยแต่เกิดขาดสภาพคล่องตนจึงไปยื่นกู้เงินธนาคาร 800,000 บาท โดยนำโฉนดบ้านและที่ดินไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ตอนแรกส่งผ่อนชำระเป็นปกติ แต่พออดีตสามีเกิดอุบัติเหตุรถชนก็เริ่มมีปัญหาในครอบครัวและกระทั่งเลิกรากับอดีตสามี หลังจากนั้นทิ้งภาระหนี้สินให้ตนแบกรับคนเดียว จนเกิดภาวะเครียดป่วยซึมเศร้าถึงขั้นต้องเข้ารักษาตัวที่ รพ.ถึง 3 วัน
จากนั้นก็ไปทำงานรับจ้างต่างจังหวัดเพื่อพยายามหาเงินมาใช้หนี้ ทำได้ประมาณ 5-6 เดือนต้องกลับมาบ้านเพราะภาวะป่วยซึมเศร้ากำเริบ แต่พยายามจะหางานทำเพื่อหาเงินใช้หนี้ธนาคารเพราะกลัวจะถูกยึดบ้านและที่ดิน กระทั่งพี่สะใภ้มาชวนลงทุนทำพลอยที่กรุงเทพฯ แต่ตอนนั้นไม่มีเงิน จึงมีคนแนะนำว่าให้นำโฉนดบ้านและที่ดินไปขายฝากกับนายทุนคนหนึ่ง ซึ่งบ้านพร้อมที่ดินและที่สวนยางเป็นชื่อของแม่
จึงตัดสินใจนำโฉนดทั้ง 2 แปลงไปขายฝากกับนายทุนคนดังกล่าว โดยไปทำสัญญาขายฝากที่สำนักงานที่ดินประโคนชัย หลังจากทำสัญญาเสร็จนายทุนก็ชำระหนี้ธนาคาร 640,000 บาทในวันนั้น หักเงินต้นและดอกเบี้ยล่วงหน้า 3 เดือน โดยตนได้รับเงินสดมาเพียง 230,000 บาท โดยในสัญญากำหนดให้ชำระทั้งต้นพร้อมดอกเบี้ยเดือนละ 26,250 บาท เป็นเวลา 1 ปี จากนั้นต้องหาเงินมาไถ่ถอนโฉนดคืน
โดยหลังจากที่ตนได้เงินสดมา 230,000 บาท ก็นำเงิน 70,000 บาทไปลงทุนทำพลอยกับพี่สะใภ้แต่กลับถูกโกงทำให้สูญเงินไปเปล่าๆ 70,000 บาท พอช่วงประมาณปลายปี 2558 จะครบกำหนดสัญญาขายฝากแล้ว จึงไปปรึกษาหน่วยงานรัฐว่าพอมีแนวทางจะทำอะไรได้บ้าง แต่พอเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเลขที่โฉนดทั้ง 2 แปลงพบว่าไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากที่ดินทั้ง 2 แปลงถูกเปลี่ยนชื่อเป็นของบุคคลอื่นแล้ว ซึ่งหมายถึงชื่อของนายทุนที่รับขายฝากไว้ ต่อมาก็ถูกฟ้องขับไล่ออกจากที่ และศาลมีคำสั่งให้ย้ายออกภายในวันที่ 4 มี.ค. 2565 นี้
“จากกรณีที่เกิดขึ้นจึงอยากวิงวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือ และขอความเมตตาจากนายทุนว่าพอจะไกล่เกลี่ย หรือทำยังไงได้บ้างที่ครอบครัวจะอยู่บ้านหลังดังกล่าวได้เพราะไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน” นางกชพรกล่าว