ศูนย์ข่าวขอนแก่น - เปิดจุดเช็กอินใหม่เมืองขอนแก่น แปลงกังหัน ทุ่งดอกคอสมอส คณะเกษตรศาสตร์ มข.ฯ ทางเลือกพักผ่อนท่องเที่ยวใกล้บ้านไม่ต้องเดินทางข้ามจังหวัดข้ามภาคให้เสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 เผยเป็นแปลงดอกไม้หลากสีสันฝีมือการสร้างสรรค์ของนักศึกษาภาควิชาพืชไร่ ได้เรียนรู้ฝึกทักษะการผลิตพืชไร่และการจัดการธุรกิจท่องเที่ยวเชิงเกษตร
ท่ามกลางภาวะแพร่ระบาดโรคโควิด-19 การเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อนต่างจังหวัดต่างภูมิภาคคงเป็นเรื่องยากสำหรับคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ต้องการสุ่มเสี่ยงกับการติดเชื้อ สถานที่ท่องเที่ยวใกล้บ้านจึงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ และล่าสุด นักศึกษาภาควิชาพืชไร่ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ได้บูรณาการความร่วมมือกันเป็นปีที่ 9 เนรมิตแปลงกังหัน ณ หมวดพืชไร่ ในพื้นที่แห่งนี้ เยื้องย่างไปจุดไหนก็เจอแต่ความสวยงามของมวลไม้ดอก ทั้งทุ่งดอกคอสมอส ทุ่งดอกทานตะวัน และดอกดาวกระจาย กลายเป็นจุดเช็กอินแห่งใหม่ของเมืองขอนแก่น
รศ.ดร.ดรุณี โชติษฐยางกูร คณบดีคณะเกษตรศาสตร์ มข. เปิดเผยว่า แปลงกังหันแห่งนี้ทางคณะฯ ได้มุ่งเน้นให้ความสำคัญต่อการฝึกทักษะการผลิต การเป็นผู้ประกอบการทางการผลิตพืชให้แก่นักศึกษาเป็นหลัก และปัจจุบันแปลงกังหันได้ถูกจัดเป็น Land Mark ใหม่ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น และจังหวัดขอนแก่น ที่รองรับการมาเยือนของนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบความสวยงามของไม้ดอกหลากสีสันและชื่นชอบการถ่ายรูป หวังเป็นอย่างยิ่งว่าแปลงกังหันที่นักศึกษาหมวดพืชไร่จัดทำขึ้นจะทำให้แขกผู้มาเยือนประทับใจ เพลิดเพลินในการชมทุ่งดอกไม้นานาพรรณ
นายภาณุพงศ์ วงษ์ทอง ประธานชมรมเกษตรเรียนรู้ สาขาวิชาพืชไร่ สโมสรนักศึกษาคณะเกษตรศาสตร์ เล่าว่า แปลงกังหันได้เริ่มสร้างขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2556 โดยนักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาชาวิชาพืชไร่เป็นผู้ริเริ่มนำนักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาพืชไร่ ร่วมกับนักศึกษาปี 1 บุกเบิกและพัฒนาพื้นที่ว่างของหมวดพืชไร่ สาขาวิชาพืชไร่ จำนวน 1 ไร่ เท่านั้น โดยปลูกต้นแก่นตะวันและทานตะวัน แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จนัก เนื่องจากขาดงบประมาณ การวางแผนงาน ประสบการณ์ และการประชาสัมพันธ์
แต่หลังจากนั้นได้มีการพัฒนาแก้ไขปัญหาแต่ละด้าน กระทั่งได้ขยายพื้นที่เป็น 5 ไร่ พร้อมเพิ่มพรรณไม้ดอกที่เหมาะสม และเน้นการพัฒนาฝึกงานเพื่อฝึกพัฒนาทักษะการเป็นผู้ประกอบการอย่างจริงจังของนักศึกษา กระทั่งการจัดทำแปลงกังหันครั้งล่าสุด ครั้งที่ 7 ปี พ.ศ. 2562 ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี โดยการสนับสนุนงบประมาณจากคณะเกษตรศาสตร์และสมาคมศิษย์เก่าคณะเกษตรศาสตร์
ประกอบกับนักศึกษามีประสบการณ์การจัดทำแปลงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะทุ่งดอกคอสมอสเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยว มีการบอกต่อถ่ายรูปโพสต์เผยแพร่ในโซเชียลอย่างกว้างขวาง
สำหรับแปลงกังหัน ครั้งที่ 8 พ.ศ. 2563 เป็นการจัดที่ประสบความสำเร็จสูงสุด เนื่องจากได้รับการสนับสนุนทางด้านกำลังใจ สิ่งของ และงบประมาณจากมหาวิทยาลัย คณะเกษตรศาสตร์ สาขาวิชาพืชไร่ และสมาคมศิษย์เก่าคณะเกษตรศาสตร์ โดยมีสื่อมวลชนให้การสนับสนุนอย่างดี และนักศึกษาต่างนำเอาความรู้จากประสบการณ์มาทำงานร่วมมือกันด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจ โดยมีจำนวนผู้เยี่ยมชมกว่า 4 หมื่นคน และในครั้งที่ 9 ในปีนี้ แม้จะไม่สามารถจัดได้ในช่วงเวลาการแสดงความยินดีแก่บัณฑิตใหม่และญาติมิตรในช่วงวันพระราชทานปริญญาบัตรได้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดและความรุนแรงของโรคโควิด-19
แต่ยังนำแนวคิดสำคัญในการฝึกทักษะการผลิตพืช สร้างความสามัคคีในการทำงานร่วมกัน โดยบูรณาการความร่วมมือของนักศึกษาทุกชั้นปี สาขาวิชาพืชไร่ และนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง สร้างทุ่งคอสมอส ทุ่งดอกทานตะวัน และดอกดาวกระจาย เชื่อว่าแปลงกังหันจะเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ เป็นจุดเช็กอินรับปีใหม่ต้อนรับการมาเยือนของผู้ชื่นชอบพรรณไม้งาม
ด้าน รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า รู้สึกชื่นชมในความร่วมมือร่วมใจ และความคิดสร้างสรรค์ของนักศึกษา ร่วมกันจัดแปลงพรรณไม้สร้างภูมิทัศน์ที่สวยงามให้กับมหาวิทยาลัยขอนแก่นติดต่อกันมาเป็นปีที่ 9 เป็นแปลงไม้ดอกไม้ประดับที่งดงาม ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้คณะเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากยิ่งขึ้น แม้จะมีปัญหาการจัดล่าช้ากว่าปีที่ผ่านมา แต่สัมผัสได้ถึงความตั้งใจ มุ่งมั่นของนักศึกษาผู้จัดงาน
“ขอชื่นชมในความมุ่งมั่น ทุ่มเท และความร่วมมือกันของนักศึกษาทุกคนที่ได้ประสานการทำงาน และร่วมมือกับทุกส่วนงานจัดแปลงกังหัน ทุ่งดอกไม้นานาพรรณขึ้น เชื่อว่าหลังสำเร็จการศึกษานักศึกษาจะได้นำประสบการณ์จากการเรียนรู้ไปใช้ให้ประสบความสำเร็จในชีวิตต่อไปในอนาคต” รศ.นพ.ชาญชัยกล่าว
สำหรับแปลงกังหัน ทุ่งดอกไม้นานาพรรณ จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 จัดเป็นจุดถ่ายภาพ และผลผลิตด้านการเกษตรของนักศึกษาเพื่อรองรับการมาเยือนของผู้ชื่นชอบ ผู้รักดอกไม้และธรรมชาติ เปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2564 เป็นต้นมา เก็บค่าเข้าชมเพียงท่านละ 20 บาท สำหรับท่านที่อายุเกิน 55 ปี และเด็กที่อายุต่ำกว่า 15 ปี เข้าชมฟรี
โดยรายได้ทั้งหมดจะนำไปใช้ในกิจกรรมของนักศึกษา การพัฒนาหมวดพืชไร่ และเป็นทุนในการจัดแปลงกังหันในปีต่อไป