พิษณุโลก - “ม.พิษณุโลก” มอบอำนาจทนายความตั้งแท่นฟ้องกราวรูดทั้ง กกอ.-สื่อบางสำนักเรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน หลังเอกสารลับหลุดว่อนโซเชียลฯ-ตีขลุมอ้างถูกสั่งทบทวนตำแหน่ง 51 คณาจารย์ ปนกับ ม.ดังภาคอีสาน ทำมหาวิทยาลัยเสื่อมเสียชื่อเสียง
กรณีสื่อมวลชนบางสำนักนำเสนอการแต่งตั้งตำแหน่งทางวิชาการของ 51 คณาจารย์มหาวิทยาลัยพิษณุโลก กับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคอีสาน โดยกล่าวหาว่า “มหาวิทยาลัยทั้ง 2 แห่ง” มีการทุจริตแต่งตั้งตำแหน่งทางวิชาการ
ล่าสุดวันนี้ (14 ธ.ค. 64) นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความชื่อดัง พร้อมคณาจารย์มหาวิทยาลัยพิษณุโลกผู้เสียหาย ตั้งโต๊ะแถลงข่าวที่ห้องประชุม มหาวิทยาลัยพิษณุโลก ชี้แจงกรณีที่คณะกรรมการการอุดมศึกษา หรือ กกอ. มีมติให้ถอดถอนตำแหน่งทางวิชาการ ทั้งตำแหน่งรองศาสตราจารย์ (รศ.) และผู้ช่วยศาสตราจารย์ (ผศ.) ของคณาจารย์มหาวิทยาลัยพิษณุโลก จำนวน 51 ราย
และมีสื่อมวลชนบางสำนักนำเสนอข่าวว่า กกอ.มีมติส่งเรื่องให้สภามหาวิทยาลัยพิษณุโลกไปพิจารณาทบทวนการดำเนินการแต่งตั้ง 51 คณาจารย์ดำรงตำแหน่งทางวิชาการให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด หลังตรวจสอบพบว่ากระบวนการพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องไม่เป็นไปตามระเบียบหลายประการ
โดยระบุว่า กรณีดังกล่าว กกอ.ได้มีมติส่งเรื่องคืนให้สภามหาวิทยาลัยพิษณุโลกรับทราบตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่มหาวิทยาลัยพิษณุโลกได้มีหนังสือแจ้งมติสภามหาวิทยาลัยฯ ยืนยันกลับว่า การดำเนินการแต่งตั้งคณาจารย์มหาวิทยาลัย ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่ กกอ.กำหนดแล้ว
แต่จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนี้ ของคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) พบว่า กระบวนการพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการของมหาวิทยาลัยพิษณุโลกทั้ง 51 รายไม่เป็นไปตามระเบียบ กกอ. ทำให้มหาวิทยาลัยพิษณุโลก และคณาจารย์ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง และเกียรติคุณเป็นอย่างมาก
ทนายอนันต์ชัยกล่าวว่า ในฐานะทนายความผู้รับมอบอำนาจจากมหาวิทยาลัยพิษณุโลก ขอเรียนชี้แจงว่ามหาวิทยาลัยพิษณุโลกเป็นสถาบันการศึกษาเอกชน จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2546 มีภาระหน้าที่จัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา ระดับปริญญา ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จึงถือว่ามหาวิทยาลัยพิษณุโลกเป็นหน่วยงานทางปกครอง และมีอำนาจโดยชอบในการแต่งตั้ง และถอดถอนตำแหน่งทางวิชาการของคณาจารย์ตามพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2546 มาตรา 43 (3)
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้มีอยู่ว่า เมื่อประมาณปี 2558 มหาวิทยาลัยพิษณุโลกได้แต่งตั้งคณาจารย์ให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการจำนวน 13 ราย และได้แจ้งให้สำนักงานปลัดกระทรวงฯ ทราบภายใน 30 วัน นับแต่วันแต่งตั้งแล้ว และในปีนี้ ทางมหาวิทยาลัยพิษณุโลกได้แต่งตั้งคณาจารย์ให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการอีกจำนวน 38 ราย ซึ่งได้นำเรื่องกลับมาทบทวนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด และอยู่ในระหว่างแจ้งให้สำนักงานปลัดกระทรวงฯ ทราบตามกฎหมาย
กระทั่งวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา สำนักงานปลัดกระทรวงฯ ได้มีหนังสือถึงมหาวิทยาลัยพิษณุโลกว่า สืบเนื่องจากมีการร้องเรียนเกี่ยวกับการแสวงหาผลประโยชน์เพื่อแลกกับตำแหน่งทางวิชาการ ทางสำนักงานปลัดกระทรวงฯ จึงได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการดำเนินการแต่งตั้งตำแหน่งทางวิชาการของมหาวิทยาลัยพิษณุโลก ซึ่งไม่พบการทุจริตตามข้อร้องเรียน
แต่พบว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการประจำมหาวิทยาลัยพิษณุโลกไม่เป็นไปตามความในมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2546 กล่าวคือ ประธานกรรมการมิได้แต่งตั้งจากกรรมการสภาสถาบัน
ดังนั้น จึงมีคำสั่งให้ส่งเรื่องคืนและขอให้มหาวิทยาลัยพิษณุโลกพิจารณาทบทวนการดำเนินการแต่งตั้งคณาจารย์ให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดรวมจำนวน 51 ราย และทบทวนคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2546
ซึ่งสภามหาวิทยาลัยพิษณุโลกได้มีมติยืนยันว่าการอนุมัติกำหนดตำแหน่งทางวิชาการของคณาจารย์มหาวิทยาลัยพิษณุโลกทั้ง 51 รายนั้นชอบแล้ว และเมื่อวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา ทางสำนักงานปลัดกระทรวงฯ ได้มีหนังสือถึงมหาวิทยาลัยพิษณุโลกแจ้งว่า กกอ.มีมติให้มหาวิทยาลัยพิษณุโลกพิจารณาถอดถอนตำแหน่งทางวิชาการของคณาจารย์ที่ กกอ.รับทราบการแต่งตั้งไปแล้วจำนวน 13 ราย อยู่ระหว่างเสนอ กกอ.รับทราบการแต่งตั้งจำนวน 37 ราย และอยู่ระหว่างนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจำนวน 1 ราย รวมทั้งสิ้น 51 ราย
อย่างไรก็ตาม พระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2546 มาตรา 84 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนใดไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการหรือเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด...ให้คณะกรรมการเตือนเป็นหนังสือให้ปรับปรุงแก้ไขสิ่งต่างๆตามที่แจ้งไปภายในเวลาที่กำหนด” ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามหาวิทยาลัยพิษณุโลกมิได้เพิกเฉยต่อปัญหาที่เกิดขึ้น แต่อยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงแก้ไขตามอำนาจหน้าที่โดยกฎหมาย
แต่ประเด็นสำคัญที่สุดของเรื่องนี้อยู่ที่ว่าที่ประชุม กกอ.เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม และ 21 กันยายน 2564 มีมติให้มหาวิทยาลัยพิษณุโลกพิจารณาถอดถอนตำแหน่งทางวิชาการของคณาจารย์รวมจำนวน 51 รายนั้น เป็นมติที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 19 ซึ่งบัญญัติว่า “ถ้าปรากฏภายหลังว่าเจ้าหน้าที่หรือกรรมการในคณะกรรมการที่มีอำนาจพิจารณาทางปกครองใดขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามหรือการแต่งตั้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นเหตุให้ผู้นั้นต้องพ้นจากตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่งเช่นว่านี้ไม่กระทบกระเทือนถึงการใดที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่”
ดังนั้น แม้ประธานกรรมการจะมิได้แต่งตั้งมาจากกรรมการสภามหาวิทยาลัยพิษณุโลกอันเป็นการขาดคุณสมบัติไปประการหนึ่งก็ตาม แต่ย่อมไม่กระทบกระเทือนถึงมติของคณะกรรมการพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการประจำมหาวิทยาลัยพิษณุโลกที่ได้อนุมัติการกำหนดตำแหน่งทางวิชาการของคณาจารย์มหาวิทยาลัยพิษณุโลกทั้ง 51 ราย โดยชอบแล้ว
“ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว กกอ.จะยกเหตุว่าประธานกรรมการมิได้แต่งตั้งจากกรรมการสภามหาวิทยาลัยพิษณุโลกขึ้นอ้างเพื่อถอดถอนตำแหน่งทางวิชาการของคณาจารย์ทั้ง 51 รายนั้น ไม่ได้”
อีกทั้งการถอดถอนตำแหน่งทางวิชาการตามระเบียบคณะกรรมการการอุดมศึกษา ว่าด้วยมาตรฐานหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งคณาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาเอกชนให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2550 จะกระทำได้เพียง 2 กรณีเท่านั้น คือ
1. กรณีที่ตรวจพบว่าผู้ขอกำหนดตำแหน่งระบุการมีส่วนร่วมในผลงานไม่ตรงกับความเป็นจริงหรือมีพฤติการณ์ส่อว่ามีการลอกเลียนผลงานทางวิชาการของผู้อื่น หรือนำผลงานทางวิชาการของผู้อื่นไปใช้ในการนำเสนอขอตำแหน่งทางวิชาการโดยอ้างว่าเป็นผลงานทางวิชาการของตนเอง หรือ
2. กรณีที่รับการเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการไปแล้ว หากภายหลังตรวจสอบพบหรือทราบว่าผลงานทางวิชาการที่ใช้ในการเสนอขอตำแหน่งทางวิชาการในครั้งนั้น เป็นการลอกเลียนผลงานของผู้อื่นหรือนำผลงานทางวิชาการของผู้อื่นไปใช้ในการนำเสนอขอตำแหน่งทางวิชาการโดยอ้างว่าเป็นผลงานทางวิชาการของตนเองก็ให้สภาสถาบันมีมติถอดถอนตำแหน่งทางวิชาการดังกล่าวได้
ทนายอนันต์ชัยย้ำว่า กรณีของคณาจารย์มหาวิทยาลัยพิษณุโลกทั้ง 51 ราย ไม่เข้าเหตุที่จะเพิกถอนตำแหน่งทางวิชาการแต่ประการใดทั้งสิ้น ดังนั้น การที่มีบุคคลและสำนักข่าวบางแห่งร่วมกับพนักงานของมหาวิทยาลัยพิษณุโลกบางคน ที่มีหน้าที่รักษาดูแลเอกสารชั้นความลับ กระทำด้วยประการใดๆ อันมิชอบด้วยหน้าที่ ให้ผู้อื่นล่วงรู้เอกสารชั้นความลับ และนำเอกสารชั้นความลับนั้นออกเผยแพร่ทางสื่อคอมพิวเตอร์ ด้วยประการที่น่าจะทำให้มหาวิทยาลัยพิษณุโลกและคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยพิษณุโลกเสื่อมเสียเกียรติคุณ เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง
ในฐานะทนายความผู้รับมอบอำนาจจากมหาวิทยาลัยพิษณุโลก จะดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดทุกคนจนถึงที่สุดทั้งทางแพ่งและอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 164 , 188 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 14(1) โดยหลังจากนี้จะฟ้อง กกอ.-สื่อฯ เรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท ยัง สน.ท้องที่ในเขตกรุงเทพฯ ต่อไป