บุรีรัมย์ - เจ้าภาพโต้ไม่ได้หอบเงินกฐินวัดหนองไผ่ จ.บุรีรัมย์หนีตามที่ถูกกล่าวหายังอยู่ที่วัดครบทุกบาท ยันเขียนแจ้งยอดชัดเจนให้คณะเจ้าภาพทราบทุกคน แยกเงินเป็น 2 ส่วนถวายเจ้าอาวาสส่วนตัวและไว้สร้างพระปรางค์สายญาติ ยังงงมีแค่ กก.ไม่รู้ แจงไม่ได้ประกาศเพราะเครื่องขยายเสียงเสีย พ้อทำบุญวัดนี้มา 14 ปีไม่เคยมีปัญหา ด้านเจ้าอาวาสเผยได้เงินครบแล้ว รับเข้าใจคลาดเคลื่อน ขอให้จบ
วันนี้ (18 พ.ย.) จากกรณีที่มีชาวบ้านหนองไผ่ ต.หลักเขต อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ร้องเรียนให้มีการตรวจสอบเงินกฐินที่คณะเจ้าภาพจากในตัวเมืองบุรีรัมย์นำมาทอดที่วัดหนองไผ่ ต.หลักเขต เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 64 ที่ผ่านมา เพราะหลายคนคลางแคลงใจว่าทำไมหลังเสร็จพิธีแล้ว เจ้าภาพไม่มีการแจ้งยอดและประกาศให้คณะกรรมการ รวมถึงชาวบ้านที่มาร่วมทำบุญได้รับทราบ บางกระแสบอกว่าเจ้าภาพมีการหอบเงินกฐินหนีไม่ได้มอบถวายวัดทั้งหมด จนเกิดกระแสดรามาและเสียงวิพากษ์วิจารณ์นั้น
ล่าสุดผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางไปยังวัดหนองไผ่ ต.หลักเขต เพื่อสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น พบมีบรรดาญาติโยม ลูกศิษย์ลูกหาทยอยเดินทางมาสอบถามและให้กำลังใจ พระครูประดิษฐ์ปัญญาภรณ์ อายุ 74 ปี เจ้าอาวาสวัดหนองไผ่ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคณะตำบลหลักเขตด้วย จากการสอบถาม พระครูประดิษฐ์ปัญญาภรณ์ เจ้าอาวาส ให้ข้อมูลว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2564 ที่วัดได้มีงานทำบุญทอดกฐินสามัคคี และโรงทานหลายโรง โดยวันนั้นมีคณะเจ้าภาพหลักจากในตัวเมืองบุรีรัมย์ นำกองกฐินใหญ่มาร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่
พอเสร็จพิธีอาตมายังไม่ทราบว่าได้ยอดกฐินเท่าไหร่ เพราะวันนั้นคนเยอะต่างคนต่างยุ่งวุ่นวาย กระทั่งตกเย็นช่วงประมาณ 6 โมงเย็นหรือ 1 ทุ่ม เจ้าภาพนำเงินมาถวายให้หลวงพ่อจำนวน 100,000 บาท แต่ไม่ได้แจ้งว่ายอดรวมทั้งหมดเท่าไหร่ กระทั่งช่วงเช้าวันที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมาถึงมาทราบว่ายอดเงินกฐินทั้งหมด 231,702 บาท ส่วนที่เหลือ 131,702 บาท อยู่กับป้ายุ แม่ครัวซึ่งเป็นหนึ่งในกรรมการวัด เรื่องราวที่เกิดขึ้นน่าจะเกิดจากความเข้าใจคลาดเคลื่อน ซึ่งตอนนี้ทางวัดได้เงินครบแล้วทุกบาท ไม่ได้ติดใจอะไร ทั้งนี้หลวงพ่อยังขอบิณฑบาตให้เรื่องนี้จบแค่นี้ไม่อยากให้เกิดปัญหาบานปลาย
ขณะที่ น.ส.ศิริรัตน์ จริรัมย์ หนึ่งในชาวบ้านที่มาร่วมทำบุญทอดกฐินในวันดังกล่าวด้วย บอกว่า หลังจากเสร็จพิธีและนับเงินเรียบร้อยแล้ว ไม่เห็นได้ยินว่ามีการประกาศยอดเงินกฐินว่าได้เท่าไหร่ รู้สึกแปลกใจว่าทำไมไม่ประกาศให้ทุกคนได้รับทราบเหมือนกับวัดอื่น พอมาสอบถามหลวงพ่อบอกว่าเขาถวายให้ 100,000 บาท ส่วนที่เหลือหลวงพ่อไม่รู้ กระทั่งมารู้ทีหลังว่าหลวงพ่อได้เงินครบแล้วเมื่อวันที่ 17 พ.ย. จึงอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
ด้าน นายทรงศักดิ์ โคกรัมย์ ผู้ใหญ่บ้าน ม.3 บ้านหนองไผ่ บอกว่า วันนั้นตนอยู่ในงานแต่ไม่ได้อยู่จุดที่เขานับเงินกัน ตนได้มอบหมายให้ผู้ช่วย ผญบ. และมัคนายกดำเนินการ แต่ให้คนไปสอบถามทางเจ้าภาพว่ายอดกฐินทั้งหมดเท่าไหร่ ได้รับคำตอบว่า "ไม่ต้องถามเรื่องยอดหรอก" จึงทำให้ชาวบ้านบางคนเกิดความคาใจ ส่วนตัวไม่อยากจะปรักปรำใครแต่ปกติแล้วตามธรรมเนียมปฏิบัติเมื่อนับเสร็จแล้วก็ควรจะประกาศให้รับรู้ทั่วกัน ส่วนเรื่องการถวายเงินกฐินตนไม่รู้ว่าถวายตอนไหน แต่ที่มีชาวบ้านบางคนกล่าวหาว่าตนเองเป็นคนเอาเงินกฐินไปนั้น ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริงตนไม่ยุ่งตั้งแต่การนับเงิน หรือถวายเงินให้หลวงพ่อเลย ขอความเป็นธรรมด้วย
ขณะที่ นายฉัตรพงษ์ จอมการณ์นนท์ หรืออากง ที่เป็นเจ้าภาพหลัก ได้ออกมาชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า ขอยืนยันว่าทั้งตัวเองและคณะเจ้าภาพไม่มีใครหอบเงินกฐินหนีตามที่ถูกกล่าวหาเลย เงินทุกบาทยังอยู่ที่วัดตั้งแต่วันที่ 14 พ.ย.จนถึงวันนี้ พอข่าวออกมาว่าเจ้าภาพหอบเงินกฐินหนีก็ตกใจมาก และขอชี้แจงว่าหลังจากเสร็จพิธีและนับเงินเรียบร้อยก็แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือจำนวน 100,000 บาท ใส่ถังพลาสติกห่อผ้าขาว ถวายส่วนตัวแด่เจ้าอาวาสกับมือ ส่วนอีก 131,702 บาทที่ใส่ถังพลาสติกอีกใบห่อด้วยผ้าขาวเหมือนกัน ที่ตั้งใจว่าจะเก็บไว้สร้างพระปรางค์สายญาติให้กับทางวัด ก็ตั้งไว้ในกุฏิของหลวงพ่อ ซึ่งแจ้งหลวงพ่อทราบแล้ว ยืนยันว่าไม่มีใครได้เอาเงินออกมาจากวัดเลยแม้แต่บาทเดียว
ส่วนที่กล่าวหาว่าไม่ได้แจ้งยอดและประกาศให้ทราบนั้นก็ไม่เป็นความจริง เพราะหลังจากนับเงินเสร็จก็เขียนใส่กระดาษเอาไว้แล้วแจ้งให้คณะเจ้าภาพรับทราบกันทุกคนแบบปากต่อปากบางคนถ่ายรูปกระดาษไว้ ส่วนที่ไม่ได้ประกาศเนื่องจากเครื่องขยายเสียงทั้งของ ผญบ. และของทางวัดเสียใช้การไม่ได้จึงไม่ได้ประกาศ ก็ยังงงว่าทุกคนทราบแต่ทำไมกรรมการอ้างว่าไม่ทราบ จึงเชื่อว่าปมเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะมีคนไม่พอใจตนเองส่วนตัวมากกว่า
แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งนี้ทั้งนั้นหลวงพ่อควรจะบอกกรรมการฯ และญาติโยมให้เข้าใจว่าความจริงเป็นยังไง ไม่ใช่ปล่อยให้เกิดความเข้าใจผิด แต่หลังจากเกิดเรื่องทั้งตนและคณะเจ้าภาพฯ ก็รีบเดินทางไปที่วัด หลวงพ่อยอมรับว่าเข้าใจคลาดเคลื่อน และพูดมาคำหนึ่งว่า “หลวงพ่อนึกไม่ถึง”
ยอมรับว่าเสียใจเพราะทำบุญที่วัดนี้มา 14 ปีแล้วไม่เคยมีปัญหา ทั้งจัดกฐิน ผ้าป่า รวมถึงปัจจัยส่วนตัวทั้งสร้างหลังคา ซ่อมเมรุ สร้างพระสีวลี และติดไฟโซลาร์เซลล์ รวมถึงปลูกต้นไม้ให้กับวัด โดยเงินกฐินหรือผ้าป่า จะแบ่งถวายให้หลวงพ่อส่วนตัว ที่เหลือก็ก่อสร้างตามจุดประสงค์ แต่หลวงพ่อกลับไม่แจ้งให้ญาติโยมได้รับทราบ จนทำให้เกิดความเข้าใจผิด แต่ไม่ได้โกรธเพราะความจริงรู้อยู่แก่ใจ
ด้าน นายนิยม กางบิด เจ้าภาพร่วมที่เป็นคนถือถังพลาสติกใส่เงินกฐินไปเก็บไว้ในกุฏิเจ้าอาวาส ยืนยันเจ้าภาพทุกคนทราบได้ยอดกฐินทั้งหมดเท่าไหร่ และได้มอบถวายวัดครบแล้ว ไม่มีใครหอบเงินออกมาจากวัดตามที่ถูกกล่าวหาเลย การกล่าวหาแบบนี้ทำให้คนที่ตั้งใจไปทำบุญเสียหาย