นครสวรรค์ - ครูสาวนครสวรรค์เปิดใจเขียนจดหมายลาออกจากราชการ ระบุเหตุผลที่ทำเอาสะอึกกันทั้งวงการ..ชี้ระบบมีแต่ประเมิน ประกัน ประกวด แถมเส้นสายอีก ทั้งที่ไม่เกี่ยวกับการพัฒนาการเรียนการสอน สิ้นเปลืองแรงกายแรงใจ ไม่คุ้มเงินภาษี
กรณีชาวเน็ตแชร์จดหมายลาออกของครูสาวรายหนึ่งที่ชี้แจงเหตุผลของการลาออก ทำให้ผู้คนทั้งในและนอกวงการครูวิพากษ์วิจารณ์สะท้อนปัญหาครูไปถึงผู้มีอำนาจแก้ไขปัญหาว่า..เพราะไม่เห็นด้วยกับการให้ครูทำเอกสารประเมิน ประกัน ประกวด สำรวจข้อมูลที่มากเกินความจำเป็น และไม่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการเรียนการสอนเท่าที่ควร
ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจ ทรัพยากร เปลืองเวลา และงบประมาณ โดยไม่มีเหตุจำเป็น หลายครั้งกระทบเวลาที่ควรเตรียมการสอน ตลอดจนเวลาส่วนตัวที่ควรมีให้ครอบครัว เพราะครูก็มีลูกที่ต้องกลับไปอบรม ดูแล สั่งสอน เช่นเดียวกัน
..และในสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา การสอนออนไลน์ที่ต้องอาศัยทั้งความพร้อมและความร่วมมือจากเด็กและผู้ปกครอง เป็นเรื่องยาก ข้าพเจ้าไม่สามารถปฏิบัติการสอนให้ได้ผลสำเร็จ คุ้มค่ากับเงินภาษีที่จ่ายเป็นเงินเดือนได้ ทั้งไม่มีความหวังที่แน่นอนว่าจะสามารถเปิดเรียนได้ตามปกติ ได้อย่างต่อเนื่องแท้จริงเมื่อใด จึงขอลาออก เพื่อให้คนที่มีความรู้ ความสมารถที่เหมาะสมกว่า เข้ามาปฏิบัติหน้าที่แทน..
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังโรงเรียนบ้านดอนพลอง ต.วังเมือง อ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์ เพื่อสอบถามถึงเรื่องดังกล่าว พบ นางกรวรรณ บุญทันเสน หรือครูเก่ง ตำแหน่งครู คส.1 สังกัด สพป.นครสวรรค์ เขต 2 ซึ่งตัดสินใจลาออกจากอาชีพครูด้วยเหตุผลที่สะเทือนทั้งวงการ เพราะเป็นปัญหาที่ครูส่วนใหญ่ประสบเรียกร้องให้มีการแก้ไขในเรื่องดังกล่าวมาเป็นเวลานานแต่ไม่ได้รับการแก้ไข
นางกรวรรณกล่าวว่า จุดเริ่มต้นที่ตัดสินใจเขียนใบลาออก ระบบการศึกษาที่ประเมินด้วยเอกสารและระบบที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งที่จริงตนมีความฝันว่าอยากจะไปเป็นครูอยู่บนดอย เราก็สอนอยู่ที่นั่นมาตลอด จนกระทั่งมีครูคนหนึ่งเป็นคนพื้นที่เข้ามาเพราะเส้นสาย เมื่อมาเป็นครูแล้วก็ไม่ได้สอนเด็กอย่างเต็มที่เลย เราก็เสียความรู้สึก
“เราสอนเด็กมาเพื่อให้เขาได้ไปต่อยอดความสามารถของเขา แต่ว่าเขากลับไม่สอน ไม่สนใจ ถึงเวลาประเมินเด็กปรากฏว่าเด็กนักเรียน ป.1 อ่านไม่ออก ถึงแม้ว่าจะเป็นเด็กที่เรียนดีที่สุดในห้องก็ตาม มันทำให้ดิฉันเห็นว่าครูคนนั้นไม่ได้สอนนักเรียนตามหลักสูตรเลย”
ทั้งที่ตนได้บอกไปแล้วว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง แล้วใช้หลักสูตรอะไรสอน แต่เขาไม่สนใจ เมื่อตนเข้าไปบอกก็ถูกข่มขู่ ต่อว่า ใส่ร้ายให้ผู้ใหญ่ในหมู่บ้านเกลียดชังตน ทำให้ผู้ปกครองมองตนเปลี่ยนไป
หลังจากนั้นจึงได้ไปปรึกษาผู้ใหญ่ทางโรงเรียนและทางกระทรวงฯ ว่าถ้าหากตนเขียนร้องเรียนว่าพฤติกรรมของครูคนนี้เป็นอย่างไรสามารถทำได้หรือไม่..ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าให้อดทน อย่าทำอะไร
“ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมทุกคนต้องให้ทำแบบนั้น ซึ่งเราก็ทนมาตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา จนรู้สึกว่าทนไม่ไหวแล้ว เวลาประเมินครู เราต้องทำเอกสารประเมิน การประกวดต่างๆ ผ่านตัวอักษรที่เราสามารถเขียนข้อความดีๆ ได้ แต่ครูบางคนไม่ได้ทำจริง เรามองว่าเป็นการเสียเวลา เสียงบประมาณโดยใช่เหตุ และไม่เห็นด้วยกับระบบแบบนี้”
และช่วงสถานการณ์โควิดระบาด ต้องมีการสอนออนไลน์ แล้วโรงเรียนที่ตนสอนผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่ค่อยพร้อม ทำให้เราสอนและให้ความรู้แก่เด็กได้ไม่เต็มที่ จึงตัดสินใจยื่นใบลาออก มีผลวันที่ 2 ธันวาคมนี้ ด้วยเหตุผลที่แทบจะไม่เคยมีครูคนไหนเขียนมาเลย ตนคิดถูกแล้วที่เขียนเหตุผลแท้จริงของตัวเองไป ซึ่งก็มีครูหลายคนที่มาแสดงความคิดเห็นเหมือนกันว่าไม่ชอบระบบเส้นสาย มีคนอุปถัมภ์ ระบบการเขียนประเมินเหมือนกัน
ทั้งนี้ ก่อนที่ตนจะลาออกก็ได้วางแผนอาชีพของตัวเองเอาไว้แล้วว่าถ้าหากลาออกมาจะทำอะไรซึ่งตนมีอาชีพรองรับแน่นอน อย่างไรก็ตาม รู้สึกดีใจมากที่ได้พูดในสิ่งที่อยากพูดเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อครูรุ่นต่อไป