นครปฐม - สาวพนักงานห้างดังย่านศาลายา นครปฐม ร้องผ่านสื่อถูกตำรวจ 2 สน. ออกหมายเรียกตามค้นบ้าน กลายเป็นผู้ต้องหานำทองปลอมไปจำนำในพื้นที่ต่างๆ เผยกระเป๋าเงินถูกขโมยในที่ทำงานพร้อมกับเพื่อน 2-3 คน เจอปัญหาเหมือนกัน ย้ำบัตรหายให้รีบแจ้งความดีที่สุด
วันนี้ (14 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับการประสานจาก น.ส.สถิตา ซังเก อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 36 หมู่ที่ 4 ตำบลทรงคะนอง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เป็นผู้เสียหายที่โดนคนร้ายขโมยกระเป๋าเงินแล้วนำบัตรประชนชนของตนไปหลอกจำนำทองปลอมตามร้านทองหลายแห่ง จึงเป็นเหตุให้เจ้าของร้านทองเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับตนในพื้นที่ สน.พระโขนง และ สน.บางนา จนมีหมายเรียกให้ตนเองนำหลักฐานไปพิสูจน์และมีตำรวจมาค้นบ้านและออกหมายเรียกไปพบ 2 ครั้ง
น.ส.สถิตา กล่าวว่า เมื่อวันที่ 23 พ.ย.63 ที่ผ่านมา ตนเองได้วางกระเป๋าไว้ที่ห้องพักพนักงานของห้างแห่งหนึ่งในพื้นที่ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เมื่อกลับมาจะเอากระเป๋าเพื่อกลับบ้าน พบว่าถูกขโมยหายไป ตนเองจึงได้เดินทางกลับบ้าน แต่หลังจากนั้นตนได้ย้อนกลับไปที่ห้องพักพนักงานอีกครั้ง และพบกระเป๋าวางอยู่ที่เดิมที่เคยหายไป ตนได้รีบตรวจสอบกระเป๋าพบเงินในกระเป๋าและของมีค่าอยู่ครบ แต่บัตรประชาชน และใบขับขี่รถยนต์ของตนหายไป ตนจึงไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ที่ ONE STOP SERVICE ที่เซ็นทรัลศาลายา พร้อมทำบัตรบัตรประชาชนใหม่ ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2563
ต่อมา วันที่ 17 พ.ค. ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนจากสถานีตำรวจนครบาลพระโขนง กรุงเทพฯ มาตามหาตัวตนเอง และแจ้งข้อกล่าวหาว่า เมื่อวันที่ 19 เม.ย. ตนได้นำทองปลอมไปจำนำที่ร้านทองแห่งหนึ่งย่านพระโขนง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงทำการเปิดกล้องวงจรปิด และนำรูปในบัตรประชาชนที่มิจฉาชีพได้ให้ไว้กับร้านทองมาเปรียบเทียบกับตนเอง ซึ่งใบหน้าและลักษณะในกล้องวงจรปิดไม่ได้ตรงกับตนเอง แต่สำเนาบัตรประชาชนตนยอมรับว่าเป็นบัตรของตน น.ส.สถิตา ได้นำหลักฐานการลงเวลาเข้าออกงาน พร้อมเอกสารการแจ้งความบัตรประชาชนหายมายืนยันความบริสุทธิ์ของตนเอง ซึ่งตนเองคิดว่าเรื่องนี้จะจบลงไปแล้ว
แต่เมื่อวันที่ 13 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้มีหมายเรียกจากสถานีตำรวจนครบาลบางนา กรุงเทพฯ ให้ตนไปรับทราบข้อกล่าวหาว่านำทองปลอมไปจำนำ ซึ่งครั้งนี้มิจฉาชีพได้นำบัตรประชาชนของตนเองไปแอบอ้างนำทองปลอมไปจำนำถึง 2 ครั้ง คือวันที่ 29 เม.ย. และวันที่ 3 พ.ค. รวมเป็นเงินกว่า 6 หมื่นบาท ตนเองจึงเดินทางไปที่สถานีตำรวจนครบาลบางนา พร้อมนำเอกสารใบแจ้งความบัตรประชาชนหาย และเอกสารการลงเวลาเข้าออกงานไปยืนยันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าไม่ใช่ตนเองตนเอง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่า การทำงานของมิจฉาชีพจะมีลักษณะทำงานเป็นร่วมกันเป็นแก๊ง และจะตระเวนก่อเหตุเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อยๆ ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงของสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาด การเข้าออกร้านทองจะต้องสวมหน้ากากอนามัย จึงทำให้การเปรียบเทียบใบหน้ากับบัตรประชาชนไม่ค่อยชัดเจน
“โชคดีที่ตนเองมีเอกสารมายืนยันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถ้าวันนั้นตนเองหยุดงาน ไม่มีเอกสารการลงเวลาเข้าออกงาน ตนเองอาจจะถูกตำรวจจับไปแล้ว พร้อมฝากถึงผู้ที่ทำบัตรประชาชนหายให้รีบไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันให้เร็วที่สุด เพราะถ้ามีคนร้ายนำบัตรประชาชนไปแอบอ้างในการทำผิดกฎหมาย เราจะได้มีเอกสารยืนยันความบริสุทธิ์ของเรา” น.ส.สถิตา กล่าว
นายสุพจน์ เกตุบุญลือ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 4 ตำบลทรงคะนอง อำเภอสามพราน ซึ่งเป็นน้าของ น.ส.สถิตา บอกว่า ก่อนหน้านี้ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางนำเอกสาร และกล้องวงจรปิดมาตามหา น.ส.สถิตา เมื่อตนเองเห็นลักษณะของคนร้ายรู้เลยว่าไม่ใช่หลานสาวของตนเองแน่ เพราะลักษณะท่าเดิน และรูปร่างไม่ใช่ จึงมั่นใจว่าหลานสาวตนเองไมได้เป็นผู้ก่อเหตุและตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพแน่นอน วอนให้สื่อและตำรวจช่วยติดตามคนร้ายให้ได้และแสดงความบริสุทธิ์ของหลานสาวตนเองด้วย