นครสวรรค์ - ตำรวจเร่งรวบรวมหลักฐานขอหมายจับสิงห์รถบรรทุกไพศาลี มือยิงไม่ยั้งดับ 1 เจ็บสาหัส 1 เซ่นพิษรักแรงหึง..เผยปมแค้นฝังหุ่น เห็นอดีตเพื่อนรักซุ่มคบเมียเก่า เคยลั่นวาจาเจอที่ไหนเป็นยิงทิ้งแน่นอน
ความคืบหน้ากรณีคนร้ายใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม.กระหน่ำยิง นายวันชัย ส้มโต อายุ 47 ปี เสียชีวิตคารถบรรทุกสิบล้อ และ น.ส.มยุรี เคียวเขตรการ อายุ 39 ปี บาดเจ็บสาหัส ขณะที่นายวันชัยกำลังขับรถรับจ้างขนดินออกจากบ่อบริเวณด้านหลังที่ทำการ อบต.ไพศาลี พื้นที่หมู่ 1 ต.ไพศาลี อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ เมื่อวานนี้ (12 ต.ค.) โดยมีปมเหตุมาจากมือปืนเกิดความหึงหวงที่เห็น น.ส.มยุรี แฟนเก่า นั่งรถบรรทุกมาทำงานกับผู้ตาย และหลังก่อเหตุสลด ตัวมือปืนได้ขับรถบรรทุกสิบล้อหลบหนีไปตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันนี้ (13 ต.ค. 64) พ.ต.ท.เนตร เรืองคำ สารวัตรสอบสวน สภ.ไพศาลี ได้รวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อออกหมายจับมือปืนผู้ก่อเหตุรายนี้แล้ว ทราบชื่อคือ นายโชคชัย สุขจิตร์ อายุ 40 ปี ซึ่งขณะนี้ยังคงหลบหนีการไล่ล่าจับกุมของทางเจ้าหน้าที่อยู่
มีรายงานว่า เมื่อช่วงเย็นวานนี้เจ้าหน้าที่พบรถบรรทุกสิบล้อ ยี่ห้อมิตซูบิชิ สีขาว หมายเลขทะเบียน 82-1909 นครสวรรค์ ที่มือปืนขับไปจอดทิ้งไว้ในพื้นที่บ้านสำโรง ต.วังข่อย ห่างจากจุดเกิดเหตุไปประมาณ 15 กิโลเมตร และจากการตรวจค้นภายในรถพบว่ามีถุงย่ามวางอยู่ที่เบาะ ภายในมีกระสุนปืนขนาด 9 มม. จำนวน 50 นัด บรรจุอยู่ในกล่อง แต่ตัวมือปืนยังคงหลบหนีการจับกุมอยู่
สำหรับชนวนเหตุสลดที่เกิดขึ้นนั้น ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากนางกาญจนา โลหะเวช ภรรยาเก่าของนายวันชัยที่ถูกนายโชคชัยยิงตายว่า ตนกับนายวันชัยได้เลิกราและหย่าร้างกันมานานกว่า 3 ปีแล้ว เนื่องจากจับได้ว่านายวัยชัยไปคบหากับ น.ส.มยุรี ที่ขณะนั้นเพิ่งเลิกรากับนายโชคชัยมาด้วยเช่นกัน
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างนายวันชัยกับนายโชคชัยนั้น เมื่อก่อนถือว่าเป็นเพื่อนรักกันมากเพราะทำงานขับรถบรรทุกรับจ้างขนดินเหมือนกัน กระทั่งนายโชคชัยมารู้ว่านายวัยชัยได้ไปคบหาและอยู่กินกับแฟนเก่าของตัวเองจึงอาจทำให้ผูกใจแค้น จนถึงขนาดเคยมาพูดลั่นวาจากับตนว่าหากเจอที่ไหนจะยิงที่นั่น
“อดีตสามีเขาก็ห่างเหินกับนายโชคชัยมาได้หลายปีแล้วนะ เพราะเขามาคบหาและอยู่กินกันฉันสามีภรรยากับแฟนเก่านายโชคชัย ซึ่งถือว่าคบหาอยู่ด้วยกันมาได้ 3 ปีแล้ว ส่วนวันที่เกิดเหตุเชื่อว่าอดีตสามีไม่น่าจะรู้ว่านายโชคชัยจะมารับจ้างขนดินที่จุดเดียวกัน เพราะหากรู้เขาก็คงจะเลี่ยงไม่ไปรับงานที่เดียวกันให้เกิดเหตุสลดเช่นนี้อย่างแน่นอน” นางกาญจนาระบุ