พิษณุโลก - เถ้าแก่ใหญ่พรหมพิราม พร้อมลูกชายขึ้นศูนย์ดำรงธรรม ร้องเงินในบัญชีธนาคารชื่อดังหายกว่า 50 ล้านบาท เชื่อฝีมือสามีลูกติดภรรยาสมัยเป็นผู้จัดการแบงก์ บอกขอสเตทเมนต์ไม่ยอมให้ ต้องพึ่งคำสั่ง ธปท.จนพบเงินถูกโอน-ไม่มีสมุดคู่ฝากหลายครั้ง
วันนี้ (12 ต.ค.) นายประเสริฐ แก้วผกาผ่องศรี หรือเฮียฝา อายุ 77 ปี อยู่บ้านเลขที่ 583 หมู่ 1 ต.วงฆ้อง อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก พร้อมด้วยลูกชาย คือนายสมยศ พงศ์กิตติไพสิฐ อายุ 52 ปี ได้เข้าร้องทุกข์ต่อศูนย์ดำรงธรรม ที่ชั้น 1 ศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก ว่าเงินฝากในบัญชีธนาคารจำนวน 9 บัญชี สูญหายไปจำนวนกว่า 50 ล้านบาท
นายประเสริฐ หรือเฮียฝา เปิดเผยว่า ชิวิตตนเริ่มมาจากเสื่อผืนหมอนใบจากเงินไม่กี่บาทเมื่อปี 2511 ทำธุรกิจหลายอย่าง เช่น ค้าขายข้าวเปลือกอยู่ในตลาดหนองตม และปล่อยเงินกู้ รับฝากจำนองโฉนดที่ดิน จนมีทรัพย์สินมากกว่า 100 ล้านบาท และได้แต่งงานกับภรรยา คือ นางกิมเต็ง บุญนวล อายุ 74 ปี แต่เสียชีวิตไปแล้วกว่า 10 ปี และมีลูกแท้ๆ ด้วยกัน 2 คน เป็นบุตรชายทั้งคู่
ส่วนภรรยามีลูกติดมาด้วย 3 คน แต่เสียชีวิตไปแล้ว 1 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นภรรยาของอดีตผู้จัดการธนาคารแห่งหนึ่ง แต่เกษียณอายุไปแล้วประมาณ 2 ปี กระทั่งภรรยาเสียชีวิตไปเมื่อปี พ.ศ. 2554 จึงตกลงแบ่งทรัพย์สินกันเมื่อปี พ.ศ. 2560 ให้ทั้งลูกแท้ๆ ของตน 2 คน และลูกเลี้ยงอีก 2 คน รวมตนเองอีก 1 คน รวมทั้งหมด 5 คน แบ่งเงินในบัญชีคนละประมาณ 20 ล้านบาท ยังไม่รวมทรัพย์สินอื่นๆ
ต่อมาลูกชาย (แท้ๆ) คนโต คือ นายสมยศ พงศ์กิตติไพสิฐ สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างจึงมาบอกตนให้ตรวจสอบเงินทั้งหมดในบัญชีธนาคารที่มีอยู่ จนพบว่าเงินในบัญชีธนาคารถูกถอนไปโดยไม่มีสมุดบัญชีและมีการทำตั๋วแลกเงินไม่สั่งจ่ายเป็นเช็คหลายครั้ง รวมยอดเงินทั้งหมดกว่า 50 ล้านบาท จึงรู้สึกไม่สบายใจที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นและพยายามหาหลักฐานสำคัญต่างๆ เพื่อดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
นายสมยศ พงศ์กิตติไพสิฐ ลูกชายคนโตเฮียฝา กล่าวว่า พ่อตน (นายประเสริฐ แก้วผกาผ่องศรี หรือเฮียฝา) อยู่ในความดูแลของลูกเลี้ยงทั้ง 3 คนเพราะเขากีดกันไม่ให้ตนเข้าไปยุ่ง ขณะที่ตนทำธุรกิจร้านแอร์อยู่ในตัวเมืองพิษณุโลก นานๆ ครั้งจะกลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ที่ตลาดหนองตม อ.พรหมพิราม
กระทั่งแม่เสียชีวิตจึงมีการแบ่งมรดกทรัพย์สินต่างๆ ให้เท่าๆ กัน พอแบ่งมรดกเสร็จเรียบร้อยแล้วลูกเลี้ยงกลับไม่เอาใจใส่ดูแลพ่อเหมือนแต่ก่อน จนสุดท้ายมารู้เรื่องว่าเงินในบัญชีของพ่อถูกถอนไปอย่างน่าสงสัยมากกว่า 50 ล้านบาท แต่ตนหาหลักฐานสเตทเมนต์มาได้เพียง 3 บัญชีเท่านั้น อีก 6 บัญชี ธนาคารกลับปฏิเสธไม่ยอมให้ ตนจึงได้ทำเรื่องร้องไปยังผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ล่าสุดมีหนังสือตอบกลับมาเรียบร้อยแล้ว วันนี้ตนจึงต้องการกู้ศักดิ์ศรีของพ่อกลับคืนมา เพราะที่ผ่านมาพ่อทำมาหากินเลี้ยงดูทุกคนมาเป็นอย่างดี กลับมาทำผู้มีพระคุณเช่นนี้
ต่อมา นายอธิปไตย ไกรราช ผอ.กลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดพิษณุโลก ได้รับหนังสือร้องเรียนพร้อมจะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
ทั้งนี้ผู้เสียหายระบุว่า ก่อนหน้านี้ได้ไปขอสเตทเมนต์แบบละเอียดตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค. 62-25 ส.ค. 64 จากธนาคารชื่อดังแห่งหนึ่งของ จ.พิษณุโลก กลับถูกบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้ กระทั่งต้องไปร้องเรียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 15 ก.ค. 64 และทางธนาคารแห่งประเทศไทยได้แจ้งธนาคารสำนักงานใหญ่ธนาคารที่รับฝากเงินพิจารณาติดตามและตรวจสอบบัญชีเงินฝากตามหนังสือร้องเรียนดังกล่าว ต่อมาธนาคารชื่อดังรายดังกล่าวสาขาพิษณุโลกจึงยอมให้สำเนาสเตทเมนต์ แต่ให้มาเพียง 3 บัญชี เหลืออีก 6 บัญชีที่ยังไม่ได้
ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเงินในบัญชีถูกอดีตผู้จัดการธนาคาร ซึ่งเป็นลูกเขยของนายประเสริฐ แก้วผกาผ่องศรี หรือเฮียฝา ถอนโดยการโอนแบบไม่มีสมุดบัญชีไปหลายครั้ง รวมแล้วกว่า 50 ล้านบาท และเนื่องจากได้ติดตามสอบถามเรื่องสเตทเมนต์ของบัญชีทั้งหมดกลับถูกธนาคารบ่ายเบี่ยง เกรงว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงเดินทางมาร้องเรียนศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดพิษณุโลก และหลังจากนี้จะได้เดินทางไปแจ้งความที่กองบังคับการปราบปรามที่ กทม.เพื่อให้ดำเนินคดีต่อผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดด้วย