กาญจนบุรี - สทนช.ลงพื้นที่ลำน้ำภาชี ย้ำแผนรับมือฝนปี 64 ตามข้อสั่งการ “บิ๊กป้อม” หารือหน่วยเกี่ยวข้องเร่งแก้จุดวิกฤตตลิ่งฟังน้ำเข้าท่วมพื้นที่ประชาชน หนุนผลศึกษาผังน้ำแม่กลอง ปรับปรุงลำน้ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ ชี้สถานการณ์น้ำ 2 เขื่อนใหญ่ จ.กาญจนบุรี ได้อานิสงส์พายุ “โกนเซิน” คาดมีน้ำไหลเข้ารวม 2 อ่างกว่า 1,000 ล้าน ลบ.ม.
วันนี้ (11 ก.ย.) ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เดินทางลงพื้นที่ตรวจราชการ และติดตามผลการดำเนินงานในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลอง ภายใต้โครงการศึกษาการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ และแผนหลักการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลอง ที่บ้านท่าเสด็จ ต.จรเข้เผือก อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ให้การต้อนรับ และมีโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดกาญจนบุรี ทรัพยากรน้ำภาค 7 เจ้าท่าภูมิภาค สาขากาญจนบุรี นายอำเภอด่านมะขามเตี้ย และ อบต.จรเข้เผือก บรรยายสรุป
ดร.สมเกียรติ เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ หรือ กอนช. มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ฝนที่ตกเพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ ได้สั่งการและกำชับ สทนช.ติดตามประเมินผลความพร้อมาตรการรับมือฤดูฝนปี 2564 ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นรายจังหวัด โดยเฉพาะจุดที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจากน้ำหลากอย่างใกล้ชิด ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยได้รับอิทธิพลของร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน และอ่าวไทยเริ่มมีกำลังแรงขึ้น ตามประกาศ กอนช.ฉบับที่ 9/2564 เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงน้ำหลาก ดินถล่ม น้ำล้นตลิ่ง และอ่างเก็บน้ำมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ช่วงวันที่ 8-12 กันยายน 2564 ซึ่งรวมถึงจังหวัดกาญจนบุรี พบว่า มีปริมาณฝนตกต่อเนื่องในพื้นที่ แม้จะไม่ได้รับอิทธิพลจากพายุโซนร้อน "โกนเซิน" โดยตรง แต่ส่งผลให้มีปริมาณฝนตกเพิ่มขึ้น และมีน้ำไหลเข้าแหล่งน้ำต่างๆ ในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 2 แห่งได้แก่ เขื่อนศรีครินทร์ และเขื่อนวชิราลงกรณ คาดว่าปริมาณน้ำไหลเข้าอ่าง และคาดการณ์ 7 วันล่วงหน้า (7-16 ก.ย.) จะมีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างรวม 1016 ล้าน ลบ.ม. แบ่งเป็นเขื่อนศรีนครินทร์ 516 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนวชิราลงกรณ 500 ล้าน ลบ.ม.
สำหรับพื้นที่เป้าหมายสำคัญในการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำครั้งนี้ คือ บริเวณบ้านท่าเสด็จ ต.จรเข้เผือก อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี เนื่องจากเป็นจุดที่ประสบปัญหากัดเซาะตลิ่งรุนแรงในช่วงฤดูฝนจากปัจจัยความเร็วน้ำ โดยบริเวณดังกล่าวมีขนาดลำน้ำกว้างประมาณ 180 ม. อัตราน้ำหลากสูงสุดที่คาบอุบัติ 25 ปี ประมาณ 1,250 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ความเร็วสูงสุดประมาณ 2.89 เมตร/วินาที ด้วยความเร็วน้ำดังกล่าวส่งผลให้เกิดปัญหาการกัดเซาะตลิ่ง ซึ่งกรมโยธาธิการและผังเมืองมีแผนก่อสร้างเขื่อนป้องกันการกัดเซาะตลิ่งในจุดบริเวณดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ความยาวประมาณ 720 เมตร ขณะเดียวกัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมเจ้าท่า กรมทรัพยากรน้ำ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ร่วมบูรณาการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะขุดลอกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำควบคู่กันด้วย
“ลักษณะทางกายภาพของลุ่มน้ำลำภาชี ซึ่งเป็นลำน้ำสาขาของแม่น้ำแควน้อย เป็นลำน้ำสาขาสุดท้ายทางด้านท้ายน้ำ ก่อนที่แม่น้ำแควน้อยจะไหลบรรจบกับแม่น้ำแควใหญ่ ลำน้ำค่อนข้างชันโดยเฉพาะบริเวณพื้นที่อำเภอมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี จึงมักประสบปัญหาการกัดเซาะตลิ่งพังส่งผลเสียหายต่อประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากมีปริมาณน้ำเกินความจุลำน้ำโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน ซึ่งแนวทางการแก้ไขปัญหาสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งในบริเวณดังกล่าวมีความสอดคล้องจากผลการศึกษาผังน้ำที่ สนทช.กำลังดำเนินการซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายนนี้” ดร.สมเกียรติ กล่าว
ขณะเดียวกัน จากผลการศึกษาแนวทางการศึกษาผังน้ำแม่กลอง ได้เสนอกรอบมาตรการป้องกันน้ำท่วมที่มีประสิทธิผลสูงสุดในการลดพื้นที่น้ำท่วมในลำน้ำภาชี คือ การปรับปรุงช่องเปิดทางหลวงหมายเลข 3361 และ 3209 และถนนแยกย่อย รวมทั้งสิ้น 6 ตำแหน่ง สามารถลดพื้นที่ท่วมเหลือ 80,206 ไร่ ความลึกเฉลี่ย 1.35 เมตร ท่วม 7 วัน จากปัจจุบันมีพื้นที่น้ำท่วมประมาณ 92,500 ไร่ ความลึก 1.62 เมตร ระยะเวลาท่วม 15 วัน และหากใช้มาตรการปรับปรุงช่องเปิดและปรับปรุงลำน้ำร่วมกันจะลดพื้นที่ท่วมได้ถึง 62,388 ไร่ ความลึกเฉลี่ย 1.25 เมตร ระยะท่วม 5 วัน ขณะเดียวกัน ผลศึกษายังเสนอแนวทางควรเป็นลักษณะโอบล้อม (Polder System) และมีระบบสูบน้ำเพื่อระบายน้ำในพื้นที่ป้องกัน เป็นต้น ซึ่ง สทนช.จะส่งต่อผลการศึกษาดังกล่าวเพื่อเป็นกรอบแนวทางให้หน่วยงานรับผิดชอบนำไปกำหนดแผนงานโครงการสู่การปฏิบัติโดยเร็วต่อไป
“การศึกษาระบบผังน้ำลุ่มน้ำแม่กลอง สทนช.ได้รับฟังความเห็น การมีส่วนร่วมทุกภาคส่วนต่อโครงการ เช่น คณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน กลุ่มผู้ใช้น้ำ กลุ่มเกษตร สื่อมวลชน และประชาชนในพื้นที่ เพื่อสะท้อนปัญหาและความต้องการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ รวมถึงชี้แจงทำความเข้าใจในการกำหนดขอบเขต 4 พื้นที่หลักที่อาจจะมีผลกระทบต่อประชาชน โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์ที่ดินที่อยู่ในระบบทางน้ำตามผังน้ำที่ไม่ส่งผลต่อการเบี่ยงเบนทางน้ำ กระแสน้ำ หรือกีดขวางการไหลของน้ำที่เป็นอุปสรรคในการป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำท่วมน้ำแล้ง รวมถึงปัญหาคุณภาพน้ำได้ในอนาคต” ดร.สมเกียรติ กล่าว