ฉะเชิงเทรา - นายก อบจ.ฉะเชิงเฉรา ถอดใจวัคซีนซิโนฟาร์ม หลังได้รับจัดสรรแบบกะปริบกะปรอยไม่ทันกับยอดการติดเชื้อรายวัน เล็งยกเลิกการสั่งซื้อหลังใช้งบทุ่ม รพ.สนาม รับมือผู้ป่วยโควิด-19 ในพื้นที่มากถึง 20 ล้านบาท เผยมีหวังวัคซีนจากรัฐบาลมากกว่า
วันนี้ (3 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นายกิตติ เป้าเปี่ยมทรัพย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรา หลังได้สั่งจองวัคซีนซิโนฟาร์ม จากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จำนวน 100,000 โดส เพื่อฉีดให้ประชาชนจำนวน 50,000 คน แต่สุดท้ายกลับได้รับการจัดสรรเพียง 10,000 โดส เพื่อฉีดให้ประชาชนแค่เพียง 5,000 คน ว่า กำลังสร้างความวุ่นวายในพื้นที่หลังไม่สามารถกระจายวัคซีนให้ประชาชนได้อย่างทั่วถึง
อีกทั้งวัคซีนที่ได้รับยังมีข้อจำกัดเรื่องการฉีดให้ประชาชนที่จะต้องฉีดให้เฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส คนพิการ และผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนทางช่องทางต่างๆ ได้เท่านั้น
ขณะเดียวกัน ยังได้รับแจ้งว่าการจัดสรรวัคซีนซิโนฟาร์มในครั้งต่อไป อบจ.ฉะเชิงเทรา จะได้รับอีกแค่เพียง 1,000 โดสเพื่อฉีดให้ประชาชนอีกแค่ 500 คน และยังไม่ทราบกำหนดเวลาที่แน่ชัดว่าจะได้รับเมื่อใด
“เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้คงต้องบอกว่ารู้สึกอึดอัดใจมาก จึงเตรียมที่จะหารือกันภายในหัวหน้าส่วนราชการที่รับผิดชอบเพื่อหาแนวทางปรับลดจำนวนการสั่งจองหรือยกเลิกการสั่งจองวัคซีนซิโนฟาร์ม เนื่องจาก อบจ.ได้ใช้งบประมาณในการจัดสร้างโรงพยาบาลสนามใต้ร่มพระบารมีที่ อ.บ้านโพธิ์ เพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ในพื้นที่ไปแล้วมากกว่า 20 ล้านบาท”
นายกิตติ ยังบอกอีกว่า ในเมื่อการจัดสรรวัคซีนซิโนฟาร์มสวนทางกับยอดการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ป่วยรายวัน อบจ.ฉะเชิงเทรา จะรอรับการจัดสรรวัคซีนจากรัฐบาลเนื่องจากขณะนี้ทราบว่า จ.ฉะเชิงเทรา จะได้รับการจัดสรรวัคซีนมากขึ้น
“ในการสั่งจองวัคซีนซิโนฟาร์มครั้งแรก ทางเรามีความเข้าใจว่าจะได้รับมาพร้อมกันในครั้งเดียว 100,000โดส แต่เมื่อได้รับเพียง 10,000 โดสเพื่อฉีดให้ประชาชนได้แค่ 5,000 คน สุดท้ายถูกชาวบ้านต่อว่าและสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในพื้นที่เป็นอย่างมาก” นายก อบจ.ฉะเชิงเทรา กล่าว
ขณะที่การรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ใน จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา พบตัวเลขผู้ติดเชื้อมากถึง 460 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย ส่งผลให้ยอดรวมการติดเชื้อสะสมจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา จ.ฉะเชิงเทรา มีผู้ป่วยสะสมแล้วทั้งสิ้น 11,500 ราย เสียชีวิตสะสม 64 ราย
โดยมีผู้ป่วยที่รักษาหายแล้วรวม 5,779 ราย และอยู่ระหว่างการรักษา จำนวน 5,657 ราย
