ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - มูลนิธิทันตแพทย์ฯ ฟาดกลับ “สปสช.” หยุดกล่าวหาฉ้อโกงแบบเหมารวมยกเข่ง ซ้ำระบุความเสียหายสูงเวอร์เกินจริงปีเดียวถึง 324 ล้าน ทั้งที่เทียบ 2 ปีจ่ายงบฯ แค่ 178 ล้าน วอนขอความเป็นธรรมตรวจสอบเอาผิด “โครงการบริการทันตกรรมแก่เด็กและ ปชช.ใน กทม.” ตามความเป็นจริง ผิดว่าไปตามผิด พร้อมแก้ปัญหาทั้งระบบ จี้ตั้ง กก.ร่วมทุกฝ่ายหาทางออก
วันนี้ (8 ก.ค.) ทพ.ศุภผล เอี่ยมเมธาวี ประธานมูลนิธิทันตแพทย์เอกชนประเทศไทย เปิดเผยว่า มูลนิธิทันตแพทย์เอกชนประเทศไทย (Private Dentist Foundation Thailand - PDFT) ได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง ความเสียหายอันเกิดขึ้นใน “โครงการบริการทันตกรรมแก่เด็กและประชาชน ในกรุงเทพมหานคร ของ สปสช.” ตามคำแถลงของ สปสช. และคำให้สัมภาษณ์สื่อของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
โดยรายละเอียดของแถลงการณ์ระบุว่า เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดย นายจิรวุสฐ์ สุขได้พึ่ง และคณะ ได้แถลงข่าวเกี่ยวกับกรณีการให้บริการทันตกรรมแก่เด็กในเขตกรุงเทพมหานคร ตามโครงการของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวหาคลินิกทันตกรรมจำนวน 77 แห่งที่ร่วมโครงการนี้ทั้งหมดว่า มีการทุจริตฉ้อโกงสร้างความเสียหายต่อรัฐเพียงปีเดียวเป็นจำนวนเงินมากถึง 324 ล้านบาท อันเป็นตัวเลขที่สูงเกินจริงอย่างมากเมื่อเทียบกับงบประมาณรายปีที่ สปสช.จ่ายให้แก่คลินิกร่วมโครงการ
ดังตัวเลขที่ปรากฏในรายงาน NHSO Budget NHSO Budget ของ สปสช. ปี 2562/2563 กล่าวคือ ข้อมูลจาก สปสช. ปี 2563 ระบุว่า “เด็กๆ และประชาชนผู้ถือบัตรทองได้รับบริการทันตกรรมในจำนวนถึง 413,797 ครั้ง ใช้งบประมาณไป 106,243,240 บาท ตกเฉลี่ยค่าบริการครั้งละ 256.75 บาท ขณะที่เด็กๆ และประชาชนผู้ถือบัตรทองได้รับบริการทันตกรรมในปี 2562 ในจำนวน 310,977 ครั้ง ใช้งบประมาณ 72,675,530 บาท เฉลี่ยครั้งละ 233.70 บาท
รวมค่าใช้จ่ายสองปี คือ 2562/2563 เด็กๆ และประชาชนผู้ถือบัตรทองได้รับบริการเป็นจำนวนมากถึง 724,774 ครั้ง แต่ใช้งบประมาณจาก สปสช.เพียง 178,918,770 บาทเท่านั้น อันเป็นมูลค่าที่แตกต่างกันอย่างยิ่งกับจำนวน 691 ล้านบาท ตามคำแถลงของ นายจิรวุสฐ์ สุขได้พึ่ง ที่หน่วยงานรัฐใช้ไปเพื่อตรวจสอบคลินิกทันตกรรม 77 แห่งที่ถูกกล่าวหา ทั้งยังน่าแปลกใจว่าเพียง 1 ปี เงินที่ใช้ไปกว่า 500 ล้านบาทที่ไม่ใช่เงินค่าบริการทันตกรรมของเด็กใน 2 ปี มันคือเงินอะไร ใช้จ่ายอย่างไรจึงมากมายเพียงนั้น
และต่อมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้สัมภาษณ์ตอกย้ำตัวเลขค่าความเสียหายดังกล่าว ดังที่ทราบกันแล้ว
ต่อกรณีนี้ มูลนิธิทันตแพทย์เอกชนประเทศไทย อันเป็นองค์กรทางวิชาการ และทำงานเพื่อสาธารณประโยชน์ ซึ่งได้รับรู้การดำเนินงานอย่างต่อเนื่องของโครงการดังกล่าว ร่วมกับคลินิกทันตกรรมเอกชนมานานเกือบ 20 ปีแล้ว มีความเห็นว่า นับตั้งแต่ปี 2545 ที่มีการก่อตั้งโครงการให้บริการทันตกรรมและส่งเสริมป้องกันโรคในช่องปากแก่เด็กๆ ใน กทม.ของ สปสช. ร่วมกับคลินิกทันตกรรมเอกชน ต่อมาได้มีการขยายบริการให้แก่ประชาชนผู้ถือบัตรทอง เด็กๆ และประชาชนผู้ถือบัตรทองได้รับประโยชน์มหาศาลปีหนึ่งๆ ร่วมแสนราย เกือบ 20 ปีมานี้คลินิกทันตกรรมเอกชนจำนวนมากได้มีส่วนช่วยเหลือรัฐ แบ่งเบาภาระการดูแลฟันและสุขภาพช่องปากให้แก่เด็กและประชาชนผู้ถือบัตรทองอย่างประเมินมูลค่ามิได้
ในความต่อเนื่องของการดูแลสุขภาพฟันแก่เด็กดังกล่าวนั้น ย่อมมีการปรับปรุงคุณภาพของการให้บริการ การปรับปรุงระบบเพื่อรองรับให้สอดคล้องทันท่วงทีกับสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งแน่นอนว่า ย่อมมีความผิดพลาด มีช่องโหว่ ช่องว่าง อันสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกระบบทุกวงการ ดังจะเห็นได้ทั่วไปทั้งสังคมไทย จากนั้นก็มีการปรึกษาถ้อยทีถ้อยอาศัย ช่วยกันแก้ไขช่องว่างช่องโหว่ ความผิดพลาดดังกล่าวต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ อันเป็นวันที่มีความพยายาม “กล่าวหาอย่างเหมารวม” มายังคลินิกทันตกรรมเอกชนที่ร่วมมือกันมาตลอด นั้นว่ามีการฉ้อโกง โดยยังไม่เปิดโอกาสให้มีการชี้แจงอย่างเพียงพอ
โดยไม่คำนึงถึงว่าคลินิกทันตกรรมเอกชนที่มีรายได้สูงพอสมควรแล้ว อาจไม่จำเป็นต้องมาทำงานช่วยเหลือประชาชนแบบนี้ แต่พวกเขาก็ยินดีเสียสละมาเข้าร่วม เพราะอยากช่วยเหลือรัฐ รับใช้ประชาชนและดูแลเด็กๆ ทั้งหลายใน กทม.
อนึ่ง ทั้งๆ ที่ในระบบการตรวจสอบก็มีการดำเนินการตรวจสอบประจำทุกปีอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว หากพบการทุจริตก็แก้ไขดำเนินการลงโทษตามที่พบเห็นจริงอยู่แล้ว เพียงแต่เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2563 มีการเสนอกระทู้ในสภาผู้แทนราษฎร โดย ส.ส.ฝ่ายค้านกล่าวหา สปสช.ว่ามีการปล่อยให้เกิดการทุจริตในโครงการคลินิกชุมชนอบอุ่น หลังจากนั้นการตรวจสอบอย่างรีบเร่งเข้มงวดก็เกิดขึ้นตามมา ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา
แต่จะไม่ธรรมดาหากผู้เกี่ยวข้องถึงกับทุ่มเทเงินจำนวนถึง 691 ล้านบาท ใช้ไปเพียงปีเดียวเพื่อการตรวจสอบนี้ เพียงเพราะถูกนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามท้วงติง แล้วทุ่มงบมหาศาลยิ่งกว่างบให้บริการทำฟันเด็กหลายปีรวมกัน มาทำแค่เรื่องตรวจสอบนี้
มูลนิธิทันตแพทย์เอกชนประเทศไทยจึงเห็นว่าทางออกที่จะเกิดประโยชน์ต่อเด็ก ๆ และประชาชนผู้ถือบัตรทองใน กทม.ให้ได้รับบริการทำฟันและดูสุขภาพช่องปาก ในอัตราเฉลี่ยเพียงสองสามร้อยบาทต่อคนเช่นนี้ ควรที่จะเป็นทางออกด้วยการตรวจสอบและการเจรจาที่เป็นจริง ถูกต้องกับสภาพความเป็นจริง เข้าถึงสาเหตุที่เกิดความผิดพลาด จนมีภาพแห่งการทุจริตฉ้อโกง ซึ่ง “อาจไม่ใช่การฉ้อโกงจริง” และ “ไม่เจตนาที่จะทุจริต” เช่นนั้น
ส่วนที่พบว่ามีหลักฐานชัดเจน ระบุเจตนาได้แน่นอนว่าต้องการฉ้อโกง มีเจตนาทุจริต ย่อมสมควรดำเนินการอย่างเข้มงวด ไม่สุกเอาเผากิน ดังคำแถลงของ นายจิรวุสฐ์ สุขได้พึ่ง ที่มีต่อสื่อมวลชนในวันที่ 5 กรกฎาคม 2564
นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งประการหนึ่ง คือ จำเป็นอย่างยิ่งที่ สปสช.ต้องทบทวนระบบภายในองค์กร และพัฒนาบุคลากรให้เกิดความรัดกุม และทรงประสิทธิภาพ ทำงานอย่างทันสมัย รวดเร็วทันการณ์ ให้สมกับที่เคยตั้งปณิธานไว้ตั้งแต่แรกตั้ง สปสช.เมื่อปี 2545 ว่า จะเป็นหน่วยงานรัฐที่ทันสมัย โปร่งใส เต็มไปด้วยประสิทธิภาพ บุคลากรไม่ทำงานแบบ “ข้าราชการ” สมัยโบราณ ที่ล้าหลัง เฉื่อย เช้าชามเย็นชาม เห็นความผิดปกติก็วางเฉย และคอยสอดส่ายหากินกับช่องโหว่และความเผอเรอของระบบ เป็นต้น
มูลนิธิทันตแพทย์เอกชนประเทศไทยหวังว่าบทเรียนในครั้งนี้จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เอื้อประโยชน์ต่อการดูแลสุขภาพฟันและสุขภาพช่องปาก รวมทั้งสุขภาพโดยรวมของเด็กๆ และประชาชนใน กทม.มากยิ่งขึ้น
รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้อง จะให้ความเป็นธรรม และให้กำลังใจ แก่คลินิกทันตกรรมและทันตแพทย์ ที่ตั้งใจรับใช้ดูแลประชาชน ที่ไม่เคยคิดหรือมีเจตนาจะกระทำผิดใดๆ จนเกิดการทุจริตฉ้อโกงดังที่ถูกกล่าวหา และหันกลับมาร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐดูแลรักษาทำฟันให้เด็กๆ และประชาชนต่อไป
ทพ.ศุภผลกล่าวอีกว่า พร้อมกันนี้ ทางมูลนิธิทันตแพทย์เอกชนประเทศไทยได้ทำหนังสือ ที่ มทอท.010/2564 เรื่อง ข้อควรคำนึงและข้อเสนอเพื่อให้เกิดการเจรจาที่เป็นธรรมและรอบด้าน ถึง เลขาธิการ สปสช. นายแพทย์ จเด็จ ธรรมธัชอารี เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมในเรื่องดังกล่าว ทั้งการถูกกล่าวหาฉ้อโกงแบบเหมารวมยกเข่ง ว่ามีการเบิกจ่ายงาน-ทันตกรรมป้องกันโรคสร้างความเสียหายแก่ สปสช.ถึง 324 ล้านบาท ทั้งที่เมื่อเปรียบเทียบกับงบประมาณประจำปี 2562/2563 ที่ สปชส.จ่ายให้หน่วยบริการทันตกรรม 2 ปี รวมกันเป็นเงินจำนวนเพียง 178,918,770 บาทเท่านั้น
ดังนั้น ทางมูลนิธิฯ จึงขอสนับสนุนให้ สปสช.ใช้โอกาสนี้ในการสะสางความผิดและนำคนผิดที่มีเจตนาทุจริตอย่างแท้จริงออกมา พร้อมทั้งปรับปรุงระบบภายในทั้งหมดให้โปร่งใสและเกิดประสิทธิภาพต่อไป
“พร้อมขอให้มีการตั้งคณะทำงานร่วมขึ้นมา โดยคณะกรรมการประกอบไปด้วย ตัวแทนฝ่ายผู้ถูกกล่าวหา ผู้ทรงคุณวุฒิ และตัวแทนฝ่าย สปสช. เพื่อนำไปสู่การตรวจสอบและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายรวมทั้งผู้ถูกกล่าวหา การชดเชยค่าเสียหายแก่รัฐที่เป็นธรรม พร้อมวางแนวทางการปฏิบัติใหม่ที่สอดคล้องกับความเป็นจริงของระบบการให้บริการและสามารถตรวจสอบได้อย่างแท้จริง” ทพ.ศุภผลกล่าวในตอนท้าย