บุรีรัมย์ - ผกก. สภ.บ้านใหม่ไชยพจน์ จ.บุรีรัมย์ นำทีมชุดสืบออกล่าตัวลูกชายโหดฆ่าพ่อฝังดินอำพราง ล่าสุดได้ตัวแล้วในพื้นที่ สน.ทุ่งสองห้องขณะหลบหนีไปหาเพื่อน ชาวบ้านไม่เชื่อปมฆ่าโหดเหตุผู้ตายเอาบัตรคนจนไปจำนำตามที่ญาติให้ข้อมูล รอฟังจากปากผู้ก่อเหตุ
ความคืบหน้าเหตุการณ์สะเทือนขวัญ กรณีพบศพ นายเป ชาลีผาม อายุ 72 ปี ชาวบ้านโศกนาก ต.แดงใหญ่ อ.บ้านใหม่ไชยพจน์ จ.บุรีรัมย์ ถูกฆ่าตายอย่างโหดในสภาพมีบาดแผลจากการใช้ของมีคมฟันที่ใบหน้า ศีรษะ ตามร่างกาย และใบหูข้างขวาถูกตัดขาด แล้วนำร่างไปฝังดินเพื่ออำพรางไว้บริเวณหลังบ้านของตัวเอง หลังหายตัวอย่างปริศนาตั้งแต่คืนวันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่านายวิเชียร ชาลีผาม หรือตูบ อายุ 41 ปี ลูกชายคนเล็กของนายเป ผู้เสียชีวิต น่าจะเป็นคนก่อเหตุฆ่าพ่อของตัวเอง
ล่าสุดวันนี้ (28 มิ.ย.) ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ได้อนุมัติหมายจับ นายวิเชียร ชาลีผาม อายุ 41 ปี ลูกชายที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยฆ่านายเปแล้ว ในฐานความผิด “ฆ่าบุพการี, ลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ หรือส่วนของศพเพื่อปิดบังการเกิดการตายหรือเหตุแห่งการตาย”
ขณะที่ พ.ต.อ.สุเอก ฉินธนทรัพย์ ผู้กำกับการ สภ.บ้านใหม่ไชยพจน์ ได้นำทีมตำรวจชุดสืบสวน สภ.บ้านใหม่ไชยพจน์ ร่วมกับชุดสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ และชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 3 ออกติดตามล่าตัวนายวิเชียรด้วยตัวเอง ซึ่งล่าสุดทราบว่าสามารถจับกุมตัวนายวิเชียรได้แล้วในท้องที่ สน.ทุ่งสองห้อง ขณะหลบหนีไปหาเพื่อน ส่วนร่างผู้เสียชีวิตถูกส่งไปผ่าพิสูจน์ที่โรงพยาบาลขอนแก่น
ทางด้านเจ้าหน้าที่จากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.บุรีรัมย์ ได้ลงพื้นที่ไปยังบ้านที่เกิดเหตุเพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้เสียชีวิตและคนในครอบครัว เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดเหตุเป็นคดีความรุนแรงในครอบครัว ส่วนผู้ตายเป็นผู้สูงอายุและผู้ต้องสงสัยที่ก่อเหตุซึ่งเป็นลูกชายมีประวัติเข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยจิตเวช ซึ่งเบื้องต้นจะช่วยเหลือเรื่องค่าจัดการศพให้แก่ผู้เสียชีวิต ส่วนผลกระทบด้านอื่นต้องรอดูเรื่องคดีอีกครั้ง ก่อนจะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางแก้ไขต่อไป
ด้าน นางนภาพร ไวไธสง และนายกล มนัสสิลา ชาวบ้านโศกนาก ได้ออกมาระบุถึงกรณีที่มีญาติของผู้เสียชีวิตให้ข้อมูลกับสื่อว่า ปมการก่อเหตุฆาตกรรมโหดในครั้งนี้เกิดจากผู้เสียชีวิตนำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจนไปจำนำยังร้านค้าแห่งหนึ่งใน อ.พุทไธสง แล้วไม่ยอมแบ่งเงินให้แก่ลูกชายนั้น ส่งผลกระทบต่อชาวบ้านที่ได้รับสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งชาวบ้านต่างรู้ระเบียบเงื่อนไขในการใช้บัตร และเงินที่ได้รับก็เดือนละ 200-300 บาท คงไม่มีใครกล้าเสี่ยงทำผิดระเบียบหรือกฎหมาย และไม่เชื่อว่าผู้เสียชีวิตจะเอาบัตรไปจำนำ ซึ่งการให้ข้อมูลดังกล่าวทำให้ผู้เสียชีวิตได้รับความเสียหาย ทั้งที่ยังไม่มีใครทราบข้อเท็จจริงเพราะคนตายก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาพูดหรือแก้ต่างให้กับตัวเองได้ ซึ่งต้องรอฟังจากปากของผู้ก่อเหตุด้วยว่าเกิดจากสาเหตุอะไร