ประจวบคีรีขันธ์ - เจ้าหน้าที่ดำสำรวจปะการังที่ถูกตัด-หัก ที่เกาะทะลุ ประจวบฯแหล่งดำน้ำชื่อดัง และเข้าแจ้งความเพิ่มวันนี้ ให้พนักงานสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งนักอนุรักษ์เรียกร้องให้ตรวจสอบว่าสาเหตุใด จึงมีการทำลายแนวปะการังบริเวณดังกล่าว
จากกรณีแปลงปลูกปะการัง ที่เกาะทะลุ ถูกตัด-หักเสียหาย ตามที่กลุ่มอนุรักษ์ฯ โพสต์ลงเฟซบุ๊ก และสื่อมวลชนมีการนำเสนอต่อเนื่อง จนเป็นเรื่องที่นักดำน้ำและนักอนุรักษ์ต่างรู้สึกเสียดายที่ปะการังเป็นสัตว์มีชีวิตแต่ถูกทำลาย กว่าจะเจริญเติบโตต้องใช้ระยะเวลา และเรียกร้องให้หน่วยงานเกี่ยวข้องตรวจสอบว่า "ใครเป็นผู้ลงมือ" เนื่องจากเกาะทะลุ เป็นแหล่งดำน้ำดูปะการังที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง และยังเป็นจุดที่ขึ้นวางไข่ของเต่ากระทุกปี
ล่าสุด วันนี้ (4 มี.ค.) นายภัทร อินทรไพโรจน์ เจ้าพนักงานป่าไม้อาวุโส ทำหน้าที่หัวหน้าอุทยานแห่งชาติอ่าวสยาม (เตรียมการ) พร้อม เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติอ่าวสยาม (เตรียมการ) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ร่วมกับนางสุมณา ขจรวัฒนากุล ผอ.สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และเจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันออก เจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันตก และเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 3 ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบปะการังที่เสียหายทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ของเกาะทะลุ และพื้นที่ที่มีการพื้นฟูแนวปะการังพบจำนวนโคโลนีปะการังเขากวางที่มีความเสียหาย (มีร่องรอยการแตกหัก) มากกว่า 60% ของโคโลนีจำนวน 15 โคโลนี จำนวนโคโลนีปะการังที่มีความเสียหายประมาณ 20% ของโคโลนีมีจำนวน 15 โคโลนี จำนวนโคโลนีปะการังที่มีความเสียหายประมาณ 10% ของโคโลนี มีจำนวน 40 โคโลนี
ซึ่งในขณะทำการตรวจสอบไม่พบตัวผู้กระทำความผิดแต่อย่างใด ซึ่งปะการังดังกล่าวจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ประเภทสัตว์ป่าไม่มีกระดูกสันหลัง ลักษณะของปะการังถูกหักออกไป ซึ่งมีความผิดในมาตรา 12 ห้ามมิให้ผู้ใดล่าสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครอง มีบทกำหนดโทษในมาตรา 89 ผู้ใดฝ่าฝืน มาตรา 12 หรือมาตรา 29 ถ้ากระทำต่อสัตว์ป่าคุ้มครอง ซากสัตว์ป่าคุ้มครอง หรือผลิตภัณฑ์จากซากสัตว์ป่าคุ้มครอง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ.2558 มาตรา 17
ในกรณีที่ปรากฏว่าบุคคลใดก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายมีอำนาจสั่งให้บุคคลนั้นระงับการกระทำหรือกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งนั้นเป็นการชั่วคราวตามความเหมาะสม และตามประกาศคำสั่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 445/2559 ประกาศวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2559 เรื่อง มาตรการ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการระงับความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อทรัพยากรปะการัง ตามข้อที่ 8 ห้ามการเก็บหรือทำลายปะการัง เว้นแต่การกระทำเพื่อการศึกษาวิจัยทางวิชาการ บทกำหนดโทษตามมาตรา 27 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งที่ออกตามมาตรา 17 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เจ้าหน้าที่จึงเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อให้พนักงานสอบสวน สภ.บางสะพานน้อย เร่งสืบหาผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายดังกล่าวต่อไป
จากกรณีแปลงปลูกปะการัง ที่เกาะทะลุ ถูกตัด-หักเสียหาย ตามที่กลุ่มอนุรักษ์ฯ โพสต์ลงเฟซบุ๊ก และสื่อมวลชนมีการนำเสนอต่อเนื่อง จนเป็นเรื่องที่นักดำน้ำและนักอนุรักษ์ต่างรู้สึกเสียดายที่ปะการังเป็นสัตว์มีชีวิตแต่ถูกทำลาย กว่าจะเจริญเติบโตต้องใช้ระยะเวลา และเรียกร้องให้หน่วยงานเกี่ยวข้องตรวจสอบว่า "ใครเป็นผู้ลงมือ" เนื่องจากเกาะทะลุ เป็นแหล่งดำน้ำดูปะการังที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง และยังเป็นจุดที่ขึ้นวางไข่ของเต่ากระทุกปี
ล่าสุด วันนี้ (4 มี.ค.) นายภัทร อินทรไพโรจน์ เจ้าพนักงานป่าไม้อาวุโส ทำหน้าที่หัวหน้าอุทยานแห่งชาติอ่าวสยาม (เตรียมการ) พร้อม เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติอ่าวสยาม (เตรียมการ) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ร่วมกับนางสุมณา ขจรวัฒนากุล ผอ.สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และเจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันออก เจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันตก และเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 3 ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบปะการังที่เสียหายทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ของเกาะทะลุ และพื้นที่ที่มีการพื้นฟูแนวปะการังพบจำนวนโคโลนีปะการังเขากวางที่มีความเสียหาย (มีร่องรอยการแตกหัก) มากกว่า 60% ของโคโลนีจำนวน 15 โคโลนี จำนวนโคโลนีปะการังที่มีความเสียหายประมาณ 20% ของโคโลนีมีจำนวน 15 โคโลนี จำนวนโคโลนีปะการังที่มีความเสียหายประมาณ 10% ของโคโลนี มีจำนวน 40 โคโลนี
ซึ่งในขณะทำการตรวจสอบไม่พบตัวผู้กระทำความผิดแต่อย่างใด ซึ่งปะการังดังกล่าวจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ประเภทสัตว์ป่าไม่มีกระดูกสันหลัง ลักษณะของปะการังถูกหักออกไป ซึ่งมีความผิดในมาตรา 12 ห้ามมิให้ผู้ใดล่าสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครอง มีบทกำหนดโทษในมาตรา 89 ผู้ใดฝ่าฝืน มาตรา 12 หรือมาตรา 29 ถ้ากระทำต่อสัตว์ป่าคุ้มครอง ซากสัตว์ป่าคุ้มครอง หรือผลิตภัณฑ์จากซากสัตว์ป่าคุ้มครอง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ.2558 มาตรา 17
ในกรณีที่ปรากฏว่าบุคคลใดก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายมีอำนาจสั่งให้บุคคลนั้นระงับการกระทำหรือกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งนั้นเป็นการชั่วคราวตามความเหมาะสม และตามประกาศคำสั่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 445/2559 ประกาศวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2559 เรื่อง มาตรการ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการระงับความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อทรัพยากรปะการัง ตามข้อที่ 8 ห้ามการเก็บหรือทำลายปะการัง เว้นแต่การกระทำเพื่อการศึกษาวิจัยทางวิชาการ บทกำหนดโทษตามมาตรา 27 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งที่ออกตามมาตรา 17 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เจ้าหน้าที่จึงเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อให้พนักงานสอบสวน สภ.บางสะพานน้อย เร่งสืบหาผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายดังกล่าวต่อไป