ศูนย์ข่าวขอนแก่น - ผบช.ตร.ภ.4 เผยทีมสอบสวนเร่งรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอศาลออกหมายจับ
“ดร.ภูผาภูมิ” แล้ว หลังหลอกสวมสิทธิโครงการคนละครึ่ง-เที่ยวด้วยกัน ฐานความผิด 3 ข้อหา ฉ้อโกงประชาชน-นำบัตร ปชช.ของผู้อื่นไปใช้โดยไม่ได้รับความยินยอม และผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
จากกรณีผู้สูงอายุในหมู่บ้านโนนค้อ ต.โคกงาม อ.บ้านฝาง จ.ขอนแก่น ออกมาร้องเรียนถูกขบวนการมิจฉาชีพหลอกนำบัตรประชาชนไปลงทะเบียนสวมสิทธิโครงการช่วยเหลือของรัฐบาลทั้งโครงการคนละครึ่ง และโครงการเราเที่ยวด้วยกัน แลกกับเงินสดให้แก่เจ้าของบัตร 200 บาทต่อคน โดยมี “ครูฝน” นางบุหงา สุดงูเหลือม ครูโรงเรียนบ้านโสกแต้ หมู่ที่ 8 บ้านโสกแต้ ต.ป่าหวายนั่ง อ.บ้านฝาง เป็นผู้ประสานงาน โดยอ้างกับชาวบ้านว่าเป็นการช่วยเหลือจากรัฐบาลสำหรับผู้สูงอายุที่ไม่ได้ใช้สิทธิทั้ง 2 โครงการ
ต่อมาเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา ดร.ภูผาภูมิ ครูประจำโรงเรียนบ้านหนองผือ อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น ได้เดินทางมาที่ศาลากลางหมู่บ้านโนนฆ้อง หมู่ 2 ต.โคกงาม อ.บ้านฝาง จ.ขอนแก่น เพื่อขอเจรจากับชาวบ้านผู้เสียหาย ต่อรองขอจ่ายเงิน 2,000 บาทให้แก่ผู้เสียหายที่ถูกสวมสิทธิโครงการคนละครึ่ง และสิทธิเราเที่ยวด้วยกัน โดยมีกำนัน สุธน นุบาล กำนันตำบลโคกงาม และผู้ใหญ่บ้านเป็นตัวกลางในการเจรจา มีชาวบ้านเข้าร่วมประมาณ 50 คน แต่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ เพราะชาวบ้านส่วนหนึ่งยอมรับข้อเสนอ แต่อีกส่วนจะขอเดินหน้าแจ้งความดำเนินคดี
ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ (6 ก.พ.) พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.4 เปิดเผยว่า ในทางคดีมีความคืบหน้าพอสมควร ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบปากคำชาวบ้านที่เข้าแจ้งความรวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด พร้อมทั้งตรวจสอบข้อมูลภายในโทรศัพท์ของ “ครูฝน” เพื่อเร่งรวบรวมพยานหลังฐานต่างๆ ให้ครอบคลุมมากที่สุด โดยหลักฐานเชื่อมโยงใครก็จะเรียกมาสอบปากคำด้วย
โดยเบื้องต้นพบหลักฐานที่เชื่อมโยงกันทางโซเชียลมีเดีย ที่ “ครูฝน” พูดคุยกับ “ดร.ภูผาภูมิ” ถึงการดำเนินการต่างๆ ที่เกี่ยวกับการจ่ายเงินให้ชาวบ้าน บางส่วนตรงกับที่ได้ข้อมูลจากการสอบปากคำชาวบ้าน จึงต้องขอหมายค้นจากศาลจังหวัดขอนแก่น เพื่อเข้าตรวจค้นจุดที่เกี่ยวข้องกับการเกิดเหตุทั้งหมดเพื่อเก็บหลักฐาน
ทางด้านพนักงานสอบสวนก็จะรวบรวมหลักฐานเพื่อขอศาลออกหมายจับ ดร.ภูผาภูมิ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านหนองผือ อ.หนองเรือ ในข้อหา 3 ข้อหา คือ 1. ฉ้อโกงประชาชน 2. นำบัตรประจำตัวประชาชนของผู้อื่นไปใช้โดยไม่ได้รับความยินยอม และ 3. ข้อหาตามความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ตามขั้นตอนต่อไป ซึ่งทางคณะทำงานที่ร่วมกันทั้งกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น และ สภ.บ้านฝาง จะเร่งสืบสวนสอบสวนเพื่อคลี่คลายคดีโดยเร็วเนื่องจากเป็นคดีที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้านเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลอกลวงสวมสิทธิโครงการของรัฐที่เกิดขึ้นดังกล่าวจะเชื่อมโยงกับพื้นที่อื่นหรือไม่นั้นก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ทั้งนี้ในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นเองจะมีการสืบสวนสอบสวนอย่างรัดกุมรอบคอบใ ห้ได้พยานหลักฐานละเอียดที่สุดเพื่อดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด หลักฐานเชื่อมโยงใครก็จะเรียกมาสอบปากคำหากเข้าข่ายร่วมกระทำความผิดก็จะต้องถูกดำเนินคดีไปด้วยทั้งหมด ยืนยันให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย