“ศรีชล โกลฟส์” ลงทุน 8 พันล้าน ผุดโรงงานถุงมือยางในพื้นที่อีอีซี ผลิตถุงมือยางธรรมชาติที่ใช้ในวงการแพทย์ และถุงมือยางสังเคราะห์ที่ใช้ในอุตสาหกรรม ส่งออกตลาดโลก เฟสแรกกำลังผลิตปีละ 1.6 หมื่นล้านชิ้น เริ่มผลิตล็อตแรก พ.ค.64 และขยายเฟส 2 เพิ่มกำลังผลิตอีก 2 เท่าตัว ปลายปี 64
เมื่อวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่ ต.บางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี บริษัท ศรีชล โกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตถุงมือยางได้แถลงข่าวเปิดตัวโรงงานใหม่ โดยนายโสภณ เรืองกิตติกุล ประธานกรรมการบริษัท ศรีชล โกลฟส์ฯ กล่าวว่า เบื้องต้นบริษัทฯ เตรียมจะก่อสร้างโรงงานบนพื้นที่ของโครงการในเฟส 1 ราว 60 ไร่ จากทั้งหมด 140 ไร่ ในเขตพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ถ.มอเตอร์เวย์สาย 7 กม.ที่ 84 ใกล้ท่าเรือแหลมฉบัง
ภายในบริเวณโรงงานประกอบด้วย อาคารสำนักงาน 1 หลัง อาคารห้องแล็บ 1 หลัง โรงงานผลิต 5 หลัง อาคารผลิตน้ำดี 1 หลัง และอาคารเก็บสินค้าอีก 1 หลัง ซึ่งบริษัทฯ มีแหล่งน้ำอยู่ในพื้นที่ตั้งของโรงงานเพื่อรองรับการผลิตถุงมือยางที่ต้องใช้น้ำในปริมาณมาก
นายโสภณ เปิดเผยอีกว่า การก่อสร้างในเฟสแรกนี้ใช้งบประมาณราว 8,000 ล้านบาท มีกำลังการผลิตถุงมือยางจาก 50 ไลน์การผลิต รวมกัน 160 ล้านกล่อง หรือ 16,000 ล้านชิ้น (8,000 ล้านคู่) ต่อปี ขณะนี้มีลูกค้าต่างประเทศสนใจติดต่อเข้ามาบ้างแล้ว แต่ละรายมีความต้องการราว 300-500 ล้านชิ้น และบริษัทได้เซ็นเอ็มโอยูกับบริษัสยามนีโอเพาเวอร์ของจีนเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เริ่มก่อสร้างโรงงานตั้งแต่ช่วงต้นเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา คาดว่าจะดำเนินการผลิตชุดแรกในราวเดือน พ.ค.2564 จากนั้น จะดำเนินการก่อสร้างในโครงการเฟสแรกแล้วเสร็จทั้งหมดในช่วงเดือน ก.ย.ปีเดียวกัน โดยถุงมือยางที่บริษัทฯ ผลิตได้จะมี 2 ชนิด คือ ถุงมือยางธรรมชาติที่นิยมใช้ในวงการแพทย์ เพราะยืดหยุ่น สวมใส่สบาย เหมาะกับงานที่ต้องการความละเอียด มีความแม่นยำและไวต่อการสัมผัส อีกชนิดคือ ถุงมือยางไนไตร ซึ่งเป็นยางสังเคราะห์จากปิโตรเลียมและสารเคมี ซึ่งเหมาะสมกับการใช้งานในภาคอุตสาหกรรมและอื่นๆ
นายโสภณ กล่าวอีกว่า บริษัทฯ ยังมีเป้าหมายจะสร้างโรงงานผลิตถุงมือยางในเฟสที่ 2 บนพื้นที่ที่เหลืออีกราว 80 ไร่ ด้วยงบลงทุนและกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้นอีก 2 เท่าตัว โดยตั้งเป้าจะเพิ่มกำลังการผลิตถุงมือยางทั้ง 2 ชนิด รองรับคำสั่งซื้อจากทั่วโลกอีกไม่ต่ำกว่า 320 ล้านกล่อง หรือ 32,000 ล้านชิ้น (16,000 ล้านคู่) ต่อปี โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินโครงการในเฟส 2 หลังจากเฟสแรกดำเนินการแล้วเสร็จ และมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ ซึ่งเร็วสุดน่าจะเป็นช่วงปลายปี 2564 หรือต้นปี 2565