นครพนม - นรข.จับได้รายวันคราวนี้เป็นกัญชาอัดแท่งหนักครึ่งคัน มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท เป็นกัญชาเกรดพรีเมียมปลายทางส่งต่างประเทศ เผยในรอบ 2 เดือน พื้นที่ชายแดนอีสานตรวจยึดยาเสพติดได้มากถึง 33 ครั้ง ยาบ้ามากว่า 18 ล้านเม็ด กัญชากว่า 2 ตัน ไอซ์ 540 กิโลฯ มูลค่ารวมกว่า 3,000 ล้านบาท
เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ (27 พ.ย.) ที่หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขงนครพนม (นรข.) นายสุวิทย์ จันทร์หวน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พล.ร.ต.จรัสเกียรติ ไชยพันธุ์ ผบ.นรข.นครพนม ร่วมกับ พ.ต.อ.จตุรงค์ มหทธิโชติ ผกก.สืบสวนนครพนม น.ต.ชาตรี สิทัน หัวหน้าชุดปฏิบัติการจู่โจมใต้น้ำ นรข.นครพนม และเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดตามแนวชายแดน แถลงข่าวตรวจยึดรถยนต์กระบะแค็บ นิสสัน สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน 2 ฒถ 5199 กทม.
โดยกระบะหลังมีการติดตั้งตู้บรรทุกขนส่งสินค้าแบบทึบ ภายในบรรทุกกัญชาอัดแท่ง น้ำหนักแท่งละประมาณ 1 กิโลกรัม รวม 540 แท่ง น้ำหนักรวม 540 กิโลกรัม ห่อด้วยกระดาษฟอยล์สีทอง ตรวจสอบพบเป็นกัญชาคุณภาพเกรดเอ สภาพสดใหม่ เชื่อว่าเป็นกัญชาคุณภาพที่มีราคาสูง กิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 15,000-20,000 บาท
ส่วนใหญ่จะมีการลักลอบเข้ามาพักเพื่อรอส่งออกไปขายต่างประเทศ ส่วนมูลค่าของกลางครั้งนี้คิดเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท โดยสามารถตรวจยึดได้ บริเวณถนนพื้นที่บ้านหัวหาด ต.บ้านแพง อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม หลังขบวนการค้ากัญชามีการลักลอบนำมาพัก ก่อนบรรทุกขึ้นรถยนต์กระบะ เตรียมส่งต่อไปขาย แต่เจ้าหน้าที่สกัดตรวจยึดไว้ได้ช่วงดึกคืนที่ผ่านมา แต่ผู้กระทำผิดทิ้งรถยนต์หลบหนี อยู่ระหว่างการเร่งขยายผล ตรวจสอบหลักฐานการครอบคลองรถยนต์ ติดตามจับกุมมาดำเนินคดีตามกฎหมาย
พล.ร.ต.จรัสเกียรติ ไชยพันธุ์ ผบ.นรข.นครพนม เปิดเผยว่า ในช่วงนี้ถึงแม้ นรข.จะเพิ่มมาตรการเข้มงวดร่วมกับหน่วยงานความมั่นคง สกัดกั้นปราบปรามยาเสพติดตามแนวชายแดนต่อเนื่อง แต่ขบวนการค้ายาเสพติดยังคงพยายามลักลอบนำเข้าต่อเนื่อง โดยเฉพาะกัญชาในช่วงนี้ตรวจยึดได้แทบทุกวันเพราะเป็นฤดูกาลเก็บเกี่ยว ซึ่งล็อตนี้ตรวจสอบถือว่าเป็นกัญชาคุณภาพเกรดเอ มีสภาพสดใหม่เพิ่งผ่านกระบวนการผลิต บรรจุเตรียมส่งขาย
จากสถิติการจับกุมในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาในพื้นที่ชายแดนอีสาน มีการจับกุมตรวจยึดยาเสพติดมากถึง 33 ครั้ง ตรวจยึดยาบ้ามากกว่า 18 ล้านเม็ด กัญชากว่า 2 ตัน ไอซ์ จำนวน 540 กิโลกรัม และเฮโรอีน จำนวน 848 กิโลกรัม คิดเป็นเงินรวมมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ถือว่ามีมูลค่าสูงมาก อย่างไรก็ตามจะต้องเพิ่มมาตรการสกัดกั้นปราบปรามมากขึ้น รวมถึงสร้างความร่วมมือภาคประชาชนในการช่วยกันตรวจสอบ แจ้งเบาะแสด้วย
