กาฬสินธุ์ - ชาวนากาฬสินธุ์น้ำตาตกใน ได้แต่นั่งปรับทุกข์กันจากปัญหาราคาข้าวเปลือกตกต่ำเหลือแค่ 6-7 บาทต่อกิโลกรัม หักต้นทุนการผลิตแล้วพบขาดทุนยับเยิน โอดไม่มีเงินใช้หนี้ ธ.ก.ส. วอนรัฐช่วยประกันราคาข้าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการติดตามบรรยากาศการเก็บเกี่ยวข้าวเปลือกนาปีของชาวนาจ.กาฬสินธุ์ ที่เข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยว และนำผลผลิตเมล็ดข้าวเปลือกไปขายตามลานรับซื้อใกล้บ้าน พบว่าปีนี้ชาวนาประสบปัญหาเดียวกัน คือ ค่าแรงเก็บเกี่ยว ค่าขนส่ง ล้วนเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาขายข้าวเปลือกตกต่ำลงมาก ทำให้ชาวนาขาดทุนหนัก
นายปี วรรณศรี อายุ 68 ปี ชาวนาบ้านนาเชือก ต.นาเชือก อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า เก็บเกี่ยวข้าวปีนี้ แทนที่ชาวนาจะดีอกดีใจจะได้ขายข้าว นำเงินมาใช้หนี้ค่าปุ๋ยเคมี และเหลือใช้หนี้ ธ.ก.ส. และค่าใช้จ่ายต่างๆ ในครัวเรือน แต่กลับรู้สึกเจ็บปวดใจไม่ต่างกับน้ำตาตกใน เพราะขายข้าวไปแล้วเหมือนไม่ได้เงิน ราคารับซื้อข้าวเปลือกปีนี้ต่ำมากเพียงกิโลกรัมละ 6-7 บาทเท่านั้น
ขณะปีที่แล้วชาวนาในเขต อ.ยางตลาดสามารถขายข้าวได้กิโลกรัมละประมาณ 10 บาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายหลายอย่าง ทั้งค่ารถไถ ค่ารถเกี่ยว ค่าขนส่งแล้ว ทำให้ชาวนาขาดทุนยับเยิน ทั้งนี้ หากขายข้าวได้เหมือนปีที่แล้วที่ราคากิโลกรัมละ 9-10 บาท เมื่อหักลบกลบหนี้กับต้นทุนแล้วก็พอจะมีกำไรบ้าง
หากเทียบส่วนต่างระหว่างรายได้กับต้นทุนผลิตต่อไร่แล้วแตกต่างกันมาก โดยเฉลี่ยผลผลิตข้าวเปลือกได้ไร่ละประมาณ 300-400 กิโลกรัม ขาย กก.ละ 6-7 บาท ได้ประมาณ 1,800-2,400 บาท หรือไม่เกิน 2,100-2,800 บาท ขณะที่รายจ่ายค่าเมล็ดพันธุ์ 400 บาท ค่าปุ๋ย 600 บาท ค่ารถไถ 600 บาท ค่ารถเกี่ยว 800 บาท ค่าขนส่ง 500 บาท รวมประมาณ 2,900 บาท ยังไม่รวมค่าเคมีกำจัดวัชพืช ค่าแรง และค่าสูบน้ำ สรุปคือขายข้าวขาดทุน
“ทุกวันนี้ชาวนาที่นำข้าวไปขายแล้วได้แต่พากันนั่งปรับทุกข์เพราะขายข้าวไม่ได้เงิน ส่วนคนที่ได้เงินคือเจ้าของรถเกี่ยวข้าว รถขนส่งข้าว และร้านขายปุ๋ยเคมี อยากเรียกร้องรัฐบาลช่วยประกันราคาข้าวให้ชาวนาด้วย เพราะสิ่งที่ชาวนาได้รับจากการขายข้าวคือขาดทุน ไม่มีเงินใช้หนี้ จึงตกอยู่ในสภาพเจ็บปวดใจและบอบช้ำ น้ำตาตกในไปตามๆ กัน” นายปีกล่าวในที่สุด