ฉะเชิงเทรา - ผู้ดูแลโกดังซุกยาเคกองมหึมาใน จ.ฉะเชิงเทรา เข้าแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่แล้วยันไม่เกี่ยวข้องขบวนการซุกยาเสพติด อ้างผู้เช่าแจ้งใช้เก็บเฟอร์นิเจอร์ ด้าน ตร.ยังไม่ปักใจเชื่อ เตรียมย้ายของกลางเข้า กทม.ตรวจพิสูจน์หาสารประกอบ
จากกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมเลขาธิการ ป.ป.ส. และผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ได้นำกำลังบุกตรวจยึดยาเคล็อตใหญ่ น้ำหนักกว่า 11 ตัน ในโกดังร้างเนื้อที่กว่า 10 ไร่ ย่านกลุ่มอุตสาหกรรมยูโรเทค ซึ่งตั้งอยู่ภายในซอยโรงเหล็กเก่า ม.6 ต.ท่าข้าม อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งยาเคดังกล่าวได้นำมาเก็บไว้เพื่อเตรียมส่งขายต่างประเทศ และหากสามารถออกสู่ตลาดในต่างประเทศได้แล้วจะมีมูลค่าสูงถึง 3.8 หมื่นล้านบาทนั้น
โดยการบุกเข้าตรวจยึดยาเคล็อตใหญ่ดังกล่าวเป็นผลจากการที่ นายเจเรมี่ ดั๊กลาส ผู้แทนสำนักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรม แห่งสหประชาชาติ หรือ UNODC ได้แจ้งเบาะแสมายังหน่วยงานของไทยว่ามีขบวนการลักลอบขนยาเสพติดจากพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ และนำมาพักรอการส่งออกไปยังต่างประเทศจนนำสู่การบุกยึดนั้น
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ภายหลังการบุกยึดยาเคภายในโกดังร้าง ได้มีหญิงสาวอายุประมาณ 40 ปีเศษ เข้ามาแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่ว่าเป็นผู้ดูแลและทำหน้าที่บริหารจัดการโกดังแห่งนี้แทนเจ้าของเดิมซึ่งเป็นชาวสวิตเซอร์แลนด์ ที่ได้เลิกกิจการและเดินทางกลับประเทศ
พร้อมเปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ได้มีผู้มาขอเช่าโกดังโดยแจ้งว่าจะใช้เก็บเฟอร์นิเจอร์และขณะนี้ไม่ได้จ่ายค่าเช่าเป็นเวลา 2 เดือนแล้ว โดยไม่สามารถติดต่อได้ และตนเองยังได้เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.บางปะกง เพื่อขอเปิดดูสินค้าภายในโกดังเมื่อวันที่ 13 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งไม่พบว่ามีเฟอร์นิเจอร์หรือมีการดำเนินธุรกิจใดๆ รวมทั้งไม่มีคนเฝ้า และพบเพียงกระสอบป่านใยพลาสติกคล้ายกระสอบปุ๋ยวางกองเรียงกันอยู่
เบื้องต้น จึงได้ถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐานเพื่อแจ้งไปยังเจ้าของที่อยู่ในต่างประเทศให้รับทราบ กระทั่งเมื่อเดือน พ.ย.63 ที่ผ่านมา จึงมีเจ้าหน้าที่ติดต่อมาบอกว่าพบยาเสพติดภายในโกดัง
“ขอยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับผู้เช่ารายนี้ เนื่องจากในวันที่ทำสัญญาเช่าโกดัง ผู้เช่าได้แสดงตนว่าเป็นคนไทยและมีบัตรประจำตัวประชาชนระบุว่าเป็นชาว จ.เชียงใหม่ แต่พูดไทยไม่ชัด และในบัตรระบุชื่อ นายอภิชาต แซ่ห่อ ซึ่งในครั้งแรกยังคิดว่าไม่น่าจะเป็นคนไทยแต่น่าจะเป็นชาวต่างชาติมากกว่า”
ผู้ดูแลโกดังยังบอกอีกว่า ก่อนหน้านี้โกดังแห่งนี้เคยมีผู้เช่าเพื่อประกอบการด้านอุตสาหกรรมนานประมาณ 3 ปี และเมื่อหมดสัญญาผู้เช่ารายเก่าได้ก่อสร้างโรงงานของตนเองจึงได้ย้าย เจ้าของโกดังจึงปล่อยให้ผู้เช่ารายใหม่เข้ามาเช่าแทน ซึ่งโกดังแห่งนี้มีเนื้อที่ใช้สอยขนาด 700 ตร.ม. และปลูกสร้างบนเนื้องที่ 3 ไร่มานานนับ 10 ปี
ด้าน พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เผยว่า คดีนี้ถือเป็นคดีใหญ่ระดับโลก ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้สั่งการให้ตำรวจ ปส. เป็นพนักงานสอบสวนร่วมกับสำนักงาน ป.ป.ส. ตลอดจนการท่าอากาศยาน ศุลกากร และสรรพากร ซึ่งจะเร่งติดตามตัวผู้ต้องหาพร้อมทำการยึดทรัพย์ตามนโยบายของรัฐบาล
“ส่วนวิธีการส่งออกยาเค ขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวน โดยขอให้เจ้าหน้าที่ทำงานอีกสักระยะก่อนจะมีการแถลงข่าวเพิ่มเติมโดย รมว.ยุติธรรมต่อไป”
อย่างไรก็ดี ป.ป.ส. ได้สืบทราบว่า ยาเคตามีนล็อตนี้ถูกนำมาเก็บไว้ในโกดังนานกว่า 2 เดือนแล้ว สำหรับของกลางที่ตรวจยึดได้จะเคลื่อนย้ายไปทำการตรวจสอบพิสูจน์สารเสพติดที่อยู่ภายในตัวยาที่ กทม. และจะเก็บไว้ที่สำนักงาน ป.ป.ส. ต่อไป
ส่วนเจ้าของโกดังจะมีส่วนเกี่ยวข้องการยาเสพติดล็อตนี้หรือไม่นั้นจะต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นเริ่มต้นการสืบค้นตามพยานหลักฐาน ซึ่งเจ้าหน้าที่ทราบแล้วว่าเจ้าของโกดังว่าเป็นใคร