จันทบุรี - พร้อมแล้ว! จันทบุรี เปิดรับแรงงานกัมพูชาล็อตแรก 500 คนเข้าประเทศพรุ่งนี้ ขณะที่หน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งเตรียมความพร้อมตรวจคัดกรองก่อนส่งตัวให้ผู้ประกอบการล้ง สวนลำไยนำไปกักตัว 14 วันก่อนทำงาน
วันนี้ (14 ก.ย.) หลายหน่วยงานใน จ.จันทบุรี เช่น ตำรวจ ทหาร หน่วยงานด้านสาธารณสุข เจ้าหน้าที่อำเภอโป่งน้ำร้อน ได้จัดประชุมเพื่อทำความเข้าใจและวางมาตรการเข้มในการรับแรงงานชาวกัมพูชาชุดแรกที่จะเดินทางผ่านจุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลม ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน เข้ามาทำงานในล้งรับซื้อผลไม้และสวนลำไยเป็นชุดแรก จำนวน 500 คน เพื่อช่วยเกษตรกรเก็บเกี่ยวผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดในช่วงปลายเดือน ก.ย.นี้
ขณะที่บริเวณด้านหน้าจุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลม พบว่า เจ้าหน้าที่ได้จัดเตรียมเต็นท์พักคอย เต็นท์คัดกรอง และจัดกำลังเจ้าหน้าที่สำหรับตรวจคัดกรองแรงงานชาวกัมพูชาอย่างเข้มข้น รวมทั้งการจัดตั้งสุขาเคลื่อนที่เพื่อให้บริการแรงงานที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศ
นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ยังได้ซักซ้อมการตรวจคัดกรอง การวัดอุณหภูมิ กำหนดจุดตั้งเจลล้างมือ และการเว้นระยะห่าง ก่อนจะส่งมอบแรงงานให้ผู้ประกอบการล้งพาไปกักตัวเพื่อรอดูอาการเป็นเวลา 14 วัน ในสถานที่ที่ผู้ประกอบการจัดเตรียมไว้ หรือนำไปกักตัวในรีสอร์ตที่ทางการกำหนด และหากพบว่ามีแรงงานติดเชื้อโควิด-19 ก็จะต้องส่งตัวไปรักษาในโรงพยาบาล หรือส่งกลับประเทศบ้านเกิดทันที
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จ.จันทบุรี มีล้งรับซื้อผลไม้มากถึง 80 แห่ง ครอบคลุมใน 2 อำเภอ คือ อ.โป่งน้ำร้อน และ อ.สอยดาว จึงทำให้มีความต้องการแรงงานชาวกัมพูชามากถึง 3,000 คน ซึ่งที่ผ่านมา จ.จันทบุรี ได้เสนอไปยังกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อขอเปิดรับแรงงานชาวกัมพูชาตามจำนวนที่ต้องการ แต่ได้รับการอนุมัติเพียง 1,000 คน
โดยกรมควบคุมโรค จะติดตามการเข้ามาของแรงงานชาวกัมพูชาชุดแรก จำนวน 500 คนก่อนว่า จ.จันทบุรี รวมทั้งผู้ประกอบการล้งและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถควบคุมและป้องกันโรคได้มากน้อยเพียงใด และหากพบว่า สามารถปฏิบัติตามแผนการควบคุมโรคได้เป็นอย่างดี ก็จะอนุมัติให้สามารถนำแรงงานต่างด้าวเข้าประเทศได้ในชุดต่อๆ ไป จนกว่าจะเพียงพอต่อความต้องการ
ดร.รัฐวิทย์ ตั้งเกียรติพชร นายกสมาคมการค้าและการท่องเที่ยวชายแดนไทย-กัมพูชา เผยว่า ในวันนี้ทุกหน่วยงานในพื้นที่ได้ช่วยกันจัดเตรียมสถานที่ และเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดรับแรงงานชาวกัมพูชาเข้าพื้นที่ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งที่ผ่านมา ผู้ประกอบการใน อ.โป่งน้ำร้อน และ อ.สอยดาว ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานช่วยเก็บเกี่ยวผลผลิตเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเจ้าของสวนลำไย ที่ผลผลิตกำลังจะออกสู่ตลาด และหากแรงงานเข้าพื้นที่ช้ากว่านี้ไปอีก 1 สัปดาห์ก็น่าจะเกิดความเสียหายต่อผลผลิตจำนวนมาก
“ในช่วง 10 วันนับจากนี้ หากเกษตรกรไม่เร่งเก็บเกี่ยวผลผลิตลำไยก็จะทำให้ผลผลิตเสียหาย โดยเฉพาะในช่วงสิ้นเดือน ก.ย.นี้ ผลผลิตลำไยที่สามารถเก็บเกี่ยวได้จะมีประมาณ 10-15 เปอร์เซ็นต์ของผลผลิตทั้งหมด และหากเข้าสู่เดือน ต.ค.และ พย. ผลผลิตที่จะสามารถเก็บเกี่ยวได้จะมีประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ จึงจำเป็นต้องนำแรงงานชุดแรก จำนวน 500 คน เข้ามาก่อนและเมื่อผ่านการกักตัว 14 วันแล้วก็จะต้องทำงานอยู่แต่ภายในล้ง จากนั้นก็จะมีการนำแรงงานชุดต่อไปเข้ามาอีก เพื่อช่วยในการคัดแยกลำไยที่เก็บเกี่ยวได้” นายกสมาคมการค้าและการท่องเที่ยวชายแดนไทย-กัมพูชา กล่าว
ขณะที่ นายณัฐรัชตภวัต พงษ์ธนัชชวรากร ชาวบ้านในพื้นที่ จ.จันทบุรี บอกว่า ตนเองไม่รู้สึกกังวลกับการนำแรงงานชาวกัมพูชาเข้ามาในประเทศ เพราะเชื่อมั่นในการตรวจคัดกรองของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและยังเชื่อว่าจะเกิดผลดีต่อเศรษฐกิจของจังหวัดจันทบุรี อย่างแน่นอน
