บุรีรัมย์ - สองตายายชาว อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ต้องจำใจกู้ยืมเงินนอกระบบ ขายสร้อยทอง และทุบออมสินหลาน รวบรวมเงินร่วมแสนไปจ่ายให้บริษัทไฟแนนซ์หวั่นถูกยึดบ้านและที่ดินมรดก หลังผู้ใหญ่บ้านหลอกค้ำซื้อรถยนต์จนถูกฟ้องยึดทรัพย์ ไปทวงถามเพิกเฉย สุดท้ายต้องหาเงินจ่ายเอง ฝากเป็นอุทาหรณ์อย่าไปเซ็นค้ำใคร ชี้เป็นบทเรียนราคาแพงในชีวิต
วันนี้ (18 ส.ค.) จากกรณีที่ นายสมบูรณ์ บุญเรืองศรี อดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านแห่งหนึ่งใน ต.สนามชัย อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ พร้อม นางแป บุญเรืองศรี ภรรยา ออกมาร้องขอความช่วยเหลือเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา หลังจากนายสมบูรณ์ ผู้เป็นสามี ได้เซ็นค้ำประกันให้ผู้ใหญ่บ้านในการซื้อรถยนต์กระบะ ในราคาประมาณ 300,000 บาท ตั้งแต่ปี 2558 แต่พอผู้ใหญ่บ้านนำไปใช้งานได้ประมาณ 3-4 เดือนรถมีปัญหาต้องซ่อมตลอด จึงแจ้งให้ทางบริษัททราบว่าต้องการจะคืนรถ จากนั้นมีตัวแทนบริษัทมารับรถยนต์กลับคืนไป ซึ่งขณะนั้นผู้ใหญ่บ้านไม่ได้ค้างค่างวด แต่ทางบริษัทบอกว่าต้องจ่ายค่าสึกหรอรถเพิ่มอีก 36,000 บาท แต่ผู้ใหญ่บ้านไม่ยอมจ่ายเพราะเข้าใจว่าให้รถคืนไปแล้วและไม่ได้ค้างค่างวดด้วย
กระทั่งถูกทางบริษัทฟ้องเรียกค่าส่วนต่างพร้อมดอกเบี้ยรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 105,000 บาท แต่ผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 ก็ยังเพิกเฉย จนทางบริษัทได้ฟ้องยึดทรัพย์ แต่เมื่อสืบทรัพย์แล้วจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินให้ยึด จึงฟ้องยึดทรัพย์จำเลยที่ 2 ในฐานะคนค้ำ จนทำให้ถูกหมายบังคับคดียึดที่ดินมรดก เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ 1 งาน พร้อมต้นยางพาราและสิ่งปลูกสร้างจำนวน 2 หลัง ซึ่งที่ดินดังกล่าวปัจจุบันนายสมบูรณ์ให้ลูกชายสร้างบ้านพักอาศัยและใช้ทำมาหากินโดยการปลูกยางพาราและเลี้ยงเป็ดเก็บไข่ขาย
ต่อมาจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้เข้ายื่นคำร้องขอเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยที่สำนักงานบังคับคดี ซึ่งทางบังคับคดีได้ชะลอการขายทอดตลาดไว้ก่อน โดยผลการไกล่เกลี่ยทางบริษัทให้จำเลยสามารถผ่อนชำระเดือนละ 5,000 บาทจนครบตามจำนวน หลังไกล่เกลี่ยผู้ใหญ่บ้านได้วางเงินให้ทางบริษัทเพียง 40,000 บาท แล้วก็ไม่ส่งชำระอีกเลย จึงมีหนังสือไปทวงถามหากไม่ชำระจะต้องนำที่ดินไปขายทอดตลาดตามขั้นตอน
ล่าสุด นายสมบูรณ์ อดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน พร้อมภรรยา จึงจำใจต้องไปหากู้ยืมเงินนอกระบบ ขายสร้อยทองที่เก็บออมเงินซื้อไว้น้ำหนัก 1 บาท และทุบกระปุกออมสินของหลานที่เก็บออมไว้เป็นค่าเล่าเรียน จนได้ยอดเงิน 100,000 บาท เพื่อนำไปจ่ายให้บริษัทไฟแนนท์แทนผู้ใหญ่บ้าน เพราะเกรงจะถูกยึดบ้านและที่ดินขายทอดตลาด จะทำให้ลูกชายไม่มีที่อยู่อาศัยและที่ดินทำมาหากิน
นายสมบูรณ์กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นถือเป็นบทเรียนราคาแพงในชีวิต ที่หวังดีไปค้ำประกันให้ผู้ใหญ่บ้านซื้อรถยนต์ แต่สุดท้ายครอบครัวต้องเดือดร้อนถูกร้องฟ้อง และเป็นหนี้เป็นสินเพื่อหาเงินไปจ่ายแทนผู้ใหญ่บ้าน รู้สึกเสียใจที่เป็นถึงผู้นำหมู่บ้านแทนที่จะดูแลทุกข์สุขชาวบ้านแต่กลับสร้างความเดือดร้อนซ้ำเติมลูกบ้านแบบนี้ อยากฝากถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยว่าบุคคลแบบนี้ไม่สมควรที่จะเป็นผู้ใหญ่บ้านต่อ
ทั้งอยากฝากถึงประชาชนทั่วไปขอให้ดูกรณีของตัวเองเป็นตัวอย่างว่าอย่าไปเชื่อใจค้ำประกันให้ใครแม้แต่คนที่เคารพนับถือ หรือญาติพี่น้องกันก็ตาม เพราะสุดท้ายอาจจะต้องแบกรับภาระเดือดร้อนกับสิ่งที่ไม่ได้ก่อ