ศูนย์ข่าวศรีราชา -อุปนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ชี้อาคารพุทธบารมี บ้านสุขาวดี ยังไม่เข้าข่ายพื้นที่อันตรายจนทำให้ จนท. ไม่สามารถเข้าหาหลักฐานเพื่อหาสาเหตุเพลิงไหม้ที่แท้จริงได้ ยันโครงสร้างอาคารยังไม่อยู่ในสภาพโย้ เอียง หรือทรุดตัวแต่ยังคงสามารถใช้งานได้ มีเพียงหลังคาและพื้นเท่านั้นที่เสียหายทั้งหมด
จากเหตุการณ์เพลิงไหม้อย่างรุนแรงภายในอาคารพุทธบารมี ซึ่งเป็นอาคารทรงโดมสูงประมาณ 20-30 เมตร ตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านสุขาวดี เลขที่ 228 ม.2 ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี คฤหาสน์หรูพันล้านแลนด์มาร์กทางการท่องเที่ยวของเมืองพัทยา ซึ่งภายในมีการตกแต่งอย่างวิจิตรอลังการ เพื่อใช้เป็นที่ที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา และมีการคาดการณ์ว่ามูลค่าความเสียหายน่าจะไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท
โดยหลังเกิดเหตุหน่วยงานในพื้นที่ได้เข้าตรวจสอบหาสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้แต่ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัด รวมทั้งสภาพอาคารซึ่งถูกความร้อนเป็นเวลานานจึงมีความเสี่ยงสูงที่ตัวอาคารอาจจะถล่มลงมาได้ สร้างความยากลำบากให้เจ้าหน้าที่ในการเข้าตรวจสอบอย่างละเอียดนั้น
ล่าสุด เมื่อเวลา 14.00 น. วันนี้ (9 ก.ค.) รศ.สิริวัฒน์ ไชยชนะ อุปนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) พร้อมด้วย นายจีระศักดิ์ ปราชญ์โกสินทร์ เลขาธิการ วสท. นายเกียรติศักดิ์ ศรีวงชัย รองปลัดเมืองพัทยา เจ้าหน้าที่สำนักการช่างเมืองพัทยา และตัวแทนบริษัทประกันภัยได้ร่วมกันเข้าตรวจสอบภายในอาคารพุทธบารมี บ้านสุขาวดี อีกครั้ง
รศ.สิริวัฒน์ ไชยชนะ อุปนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เผยว่า เหตุเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นยังไม่ทำให้โครงสร้างอาคารเกิดการเอียง โย้ หรือทรุดตัว และสภาพโครงสร้างอาคารยังคงใช้งานได้ยกเว้นในส่วนของหลังคาโครงเหล็ก และพื้นอาคารที่ได้รับความเสียหายและจะต้องดำเนินการซ่อมแซมใหม่ทั้งหมด
และจากการตรวจสอบในภาพรวมของอาคารพุทธบารมีซึ่งถูกเพลิงไหม้ พบว่า ไม่เข้าข่ายเป็นพื้นที่อันตรายที่เจ้าหน้าที่จะไม่สามารถเข้าตรวจสอบพื้นที่ได้ เพียงแต่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานที่จะเข้าตรวจหารายละเอียดต่างๆ จะต้องใช้ความระมัดระวังในการทำงานเท่านั้น
รศ.สิริวัฒน์ ยังเผยอีกว่า แม้โครงสร้างอาคารจะไม่ได้รับความเสียหายมากนัก แต่หลังคาโครงเหล็กที่ถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหมด อาจจะหล่นลงมาทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บได้ เช่นเดียวกับทางเดินภายในตัวอาคารที่ได้รับความเสียหายและมีรอยร้าว ซึ่งการจะเข้าตรวจสอบภายในอาคารจำเป็นต้องมีการเคลียร์พื้นที่ก่อน และจะต้องแบ่งเจ้าหน้าที่ออกเดินสำรวจเพื่อไม่ให้มีการรวมตัวเป็นกลุ่มเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้
