ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - เผยระเบิดปิงปองตั้งเวลาเผาป่าถูกพบตอนชุมชนระดมดับไฟไหม้กลางดอยอินทนนท์ ชี้ชัดปัญหาไฟป่าและหมอกควันเหนือซับซ้อน ไม่ใช่ฝีมือชาวบ้าน คาดมือมืดก่อเหตุโยงขัดแย้งบางอย่างและส่อเอี่ยวผู้มีอิทธิพล เล็งขอทหารช่วยปราม
จากกรณีเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 63 ผู้ใช้เฟซบุ๊ก “เดโช ไชยทัพ” โพสต์ภาพถ่ายอุปกรณ์ตั้งเวลาจุดระเบิด ภาพดังกล่าวเป็นข้อมูลใหม่ที่ได้มาจากเวทีสรุปบทเรียนไฟป่าภาคพลเมือง โดยอุปกรณ์ดังกล่าวดัดแปลงจากที่หนีบผ้าพลาสติกต่อชนวนขั้วบวกขั้วลบเข้ากับถ่านไฟฉายเพื่อจุดประกายไฟต่อเชื่อมจากระเบิดปิงปอง นำไปวางไว้ในป่าจุดต่างๆ ที่ยากต่อการเข้าถึง 4 จุด และตั้งเวลาระเบิดห่างกัน 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง
ทั้งนี้ ตั้งข้อสังเกตว่าทำด้วยความจงใจและใช้ความรู้ความชำนาญมากกว่าเกินกว่าชาวบ้านหรือพรานป่าทั่วไป โพสต์ดังกล่าวมีผู้เข้าไปแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก โดยต่างตั้งข้อสังเกตว่าจากโพสต์นี้น่าจะสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาไฟป่า และปัญหาฝุ่นควันภาคเหนือนั้นไม่ได้มาจากการทำเกษตรกรรมหรือการขยายพื้นที่ทำกินของชาวบ้านและการหาของป่าอย่างที่มักจะตกเป็นจำเลยของปัญหา หากแต่ยังน่าจะมีปมเหตุอื่นที่เป็นต้นตอของปัญหานี้ด้วย
ทั้งนี้ โพสต์ดังกล่าวบรรยายว่า “มีอะไรคั่นกลางไว้ก่อน เมื่อเจอความร้อนจัดและมันจะละลาย ให้ขั้วบวกขั้วลบเจอกัน เชื่อมกับถ่านไฟฉายไว้ ให้ระเบิดปิงปองขนาดเล็กทำงาน (ประยุกต์ให้เป็นแบบไร้เสียงด้วย) ไฟป่าจึงลุกลามไหมป่าอย่างรุนแรง ไม่ใช่ความเผอเรอพลั้งเผลอ ไม่ใช่พรานป่า แต่มันคืออะไร ใครทำ ทำเพื่ออะไร... มันไปไกลกว่าธูปและก้านไม้ขีดแล้วครับ เขาวางในตำแหน่งที่ยากต่อการเข้าถึง 4จุดให้เกิดการไหม้ไล่เรียงกัน ให้การเกิดไฟแต่ละจุด ห่างราว 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง ไม่ใช่พรานป่า ไม่ใช่ความพลั้งเผลอ ไม่ใช่ไฟจากการเกษตรหลุดเข้าป่า ไม่ใช่ความโกรธแค้นเล็กๆ แต่นี่คือไฟป่าจากมืออาชีพ ที่เรากำลังสงสัยกันมากๆ มันมาจากไหน.. ทำใครเพื่ออะไร ปล. : เวทีสรุปบทเรียนไฟป่าภาคพลเมือง”
จากสอบถามผู้ใช้เฟซบุ๊กดังกล่าวคือนายเดโช ไชยทัพ ผู้อำนวยการมูลนิธิการพัฒนาที่ยั่งยืน และประธานคณะทำงาน ด้านป่าไม้และที่ดินในพื้นที่ป่าภายใต้คณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นควันจังหวัดเชียงใหม่แบบบูรณาการและมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน เปิดเผยว่า ภาพและข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้รับทราบและมีการเปิดเผยในเวทีสรุปบทเรียนไฟป่าภาคพลเมือง เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 63 โดยผู้นำชุมชนและชาวบ้านบ้านขุนกลาง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ที่ลาดตระเวนเฝ้าระวังและออกดับไฟป่าที่เกิดในเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนทน์ พบอุปกรณ์ดังกล่าวกลางป่าเมื่อช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย. 63 ที่ผ่านมา ระหว่างช่วยกันดับไฟป่าที่ไหม้รุนแรง และระหว่างที่ดับอยู่ก็พบว่ามีไฟไหม้ขึ้นอีกในจุดอื่นที่ห่างออกไป ซึ่งสร้างความแปลกใจให้กับชาวบ้านเพราะมีการเฝ้าระวังป้องกันอย่างดีแต่ก็ยังเกิดเหตุ กระทั่งพบอุปกรณ์ดังกล่าวที่ไม่ทำงานโดยบังเอิญ ที่เชื่อว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับไฟไหม้ป่าที่เกิดขึ้น จึงได้ถ่ายรูปและเก็บไว้เป็นหลักฐาน เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ชาวบ้านต่างไม่เคยพบเห็นมาก่อน และสงสัยอยู่เช่นกันว่าเป็นฝีมือใคร
โดยจากการประเมินแล้วพบว่า อุปกรณ์ดังกล่าวที่มีลักษณะเป็นการใช้ระเบิดปิงปองดัดแปลงใช้ตัวหนีบผ้าพลาสติกต่อชนวนเข้ากับถ่านไฟฉายเพื่อจุดระเบิด รวมทั้งสามารถตั้งเวลาได้และประยุกต์ให้ไร้เสียงด้วย ต้องใช้ทักษะความรู้และความชำนาญเฉพาะด้านที่มีความซับซ้อนมากพอสมควร ซึ่งชาวบ้านทั่วไปไม่น่าจะสามารถทำได้และไม่น่าจะคิดซับซ้อนขนาดนั้นหากต้องการจะเผาป่า นอกจากนี้ อุปกรณ์ดังกล่าวที่พบต่างถูกนำไปวางไว้กลางป่าในจุดต่างๆ ที่ยากต่อการเข้าถึง และจงใจให้เกิดไฟไหม้ในช่วงเวลาห่างกันแต่ละจุด 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง ซึ่งบ่งชี้ว่านอกจากจะเป็นมืออาชีพแล้ว ยังต้องตั้งใจหรือจงใจอย่างยิ่งในการที่จะทำให้เกิดไฟไหม้ป่าเพื่อหวังผลบางอย่าง แต่ไม่ใช่การกระทำของชาวบ้านทั่วไปเพื่อขยายพื้นที่เกษตรกรรมหรือการหาของป่าแน่นอน
อย่างไรก็ตาม นายเดโชยอมรับว่า กรณีนี้ยังไม่สามารถระบุชี้ชัดลงไปได้ว่าเป็นการกระทำของผู้ใดและทำไปเพื่อเป้าหมายใดกันแน่ ซึ่งมีการตั้งประเด็นความเป็นไปได้ทั้งเรื่องความขัดแย้งการเมืองท้องถิ่น, ความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่รัฐ หรือแม้เรื่องคนเสพยาเสพติด ที่เลือกใช้วิธีนี้เพื่อตอบโต้คู่ขัดแย้ง แต่ทั้งนี้ยังไม่สรุปชี้ชัด โดยชาวบ้านกำลังพิจารณาที่จะเข้าแจ้งความลงบันทึกไว้เป็นหลักฐานและให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาสอบสวน รวมทั้งพิจารณาว่าในอนาคตอาจจำเป็นต้องขอกำลังทหารให้เข้ามาช่วยในการเฝ้าระวังและลาดตระเวนพื้นที่ป่าเพราะมองว่ากรณีน่าจะต้องเป็นการกระทำของผู้ที่มีอิทธิพลในระดับหนึ่งจึงกล้าก่อเหตุเช่นนี้ ซึ่งเกินกำลังของชาวบ้านในการป้องกันปราบปรามโดยตรงและเพียงลำพัง
ขณะเดียวกัน นายเดโชบอกว่า ที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตชาวบ้านมักจะถูกมองว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาไฟป่าและหมอกควันภาคเหนือมาโดยตลอด ซึ่งในส่วนของชาวบ้านเองก็พยายามที่จะพิสูจน์ให้เห็นมาตลอดเช่นกันว่าไม่เป็นความจริงตามที่ถูกกล่าวหา ด้วยการระดมกำลังกันดูแลอนุรักษ์ป่า, ทำแนวกันไฟ, จัดชุดลาดตระเวนเฝ้าระวังป้องกันและดับไฟป่าอย่างเข้มแข็งต่อเนื่อง โดยในระยะหลังมานี้ต้องยอมรับว่าผู้คนและคนในเมืองเริ่มมีความเข้าใจที่ถูกต้อง มากขึ้นเห็นได้จากการที่พยายามช่วยเหลือและสนับสนุนด้านต่างๆ ลงไปยังชาวบ้านในระดับพื้นที่ให้ทำงานป้องกันแก้ไขปัญหานี้ โดยที่การพบอุปกรณ์ตั้งเวลาเผาป่าล่าสุดนั้นยิ่งเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่าต้นตอของปัญหาไม่ได้มาจากการที่ชาวบ้านขยายพื้นที่เกษตรกรรมหรือหาของป่า แต่มาจากสาเหตุอื่นที่มีความซับซ้อนมากกว่านั้นซึ่งจะต้องร่วมกันหาคำตอบต่อไป