กาญจนบุรี - คดีหวย 30 ล้านอลเวง ขึ้นศาลอีกครั้ง คราวนี้คิวหมวดจรูญ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องทนายส่วนตัวครูปรีชา ใคร่ครวญ ข้อหาหมิ่นประมาท นัดสืบพยานโจทก์-จำเลย 8-9 ก.ย.นี้
จากกรณีสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่ 1 งวดประจำวันที่ 1 พ.ย.60 หมายเลข 533726 ซึ่งทาง ร.ต.ท.จรูญ วิมูล หรือ หมวดจรูญ อดีตข้าราชการตำรวจ สภ.บ่อพลอย อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี เป็นผู้นำสลากฯ จำนวน 1 ชุด 5 ใบเป็นเงินจำนวน 30 ล้านบาทไปขึ้นเงินรางวัลที่กองสลากกินแบ่งรัฐบาล
โดยนำเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาจังหวัดกาญจนบุรี แต่เมื่อหักภาษีแล้ว เหลือเงินเข้าบัญชี จำนวน 29,850,000 ล้านบาท โดยหมวดจรูญได้เบิกเงินออกมาจากธนาคารเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย จำนวน 5,500,000 บาท ยังคงเหลือเงินอยู่ในบัญชีธนาคารอีก จำนวน 24,350,000 บาท
แต่ในที่สุดหมวดจรูญ ก็มาถูกนายปรีชา ใคร่ครวญ หรือครูปรีชา ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนเทพมงคลรังษี ยื่นฟ้องแพ่ง ซึ่งศาลประทับรับฟ้องในคดีหมายเลขดำที่ พ.1230/60 จากนั้นส่งคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้มีคำสั่งอายัดเงินในบัญชีของหมวดจรูญที่เหลืออยู่เอาไว้ทั้งหมด
นอกจากคดีแพ่ง นายปรีชา ยังยื่นฟ้องคดีอาญาต่อหมวดจรูญ อีก 1 คดี ศาลได้ประทับรับฟ้องในคดีอาญาหมายเลขดำ ที่ อ.1863/61 ข้อหายักยอกทรัพย์ รับของโจร แต่ในที่สุดวันที่ 4 มิ.ย.2562 ศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้อง หมวดจรูญ ในคดีอาญา โดยพิพากษาว่า “ไม่ใช่ทรัพย์สินของโจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย พิพากษายกฟ้อง ส่วนเงินที่อยู่ในบัญชี หมวดจรูญ วิมูล ได้ดำเนินการปิดบัญชีไปแล้ว
ต่อมา ร.ต.ท.จรูญ วิมูล หรือหมวดจรูญ ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวรยุทธ บุญวงศ์ใส ทนายความส่วนตัวของนายปรีชา ใคร่ครวญ หรือครูปรีชา ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ซึ่งศาลจังหวัดกาญจนบุรีได้ประทับรับฟ้องเป็นคดีอาญา หมายเลขดำที่ อ.2250/62 ลงวันที่ 19 มี.ค.63 และศาลนัดสอบคำให้การจำเลยในวันที่ 18 พ.ค.2563
ล่าสุด วันนี้ (18 พ.ค.) ร.ต.ท.จรูญ วิมูล (โจทก์) พร้อมด้วยนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ นายวิรุฬห์ชล วารวงค์ พร้อมทีมทนายความ เดินทางมาถึงศาลจังหวัดกาญจนบุรี เวลาไล่เลี่ยกันนายวรยุทธ บุญวงศ์ใส (จำเลย) พร้อมด้วยนายสามารถ จันทพาท ทนายความส่วนตัว ก็มาถึงศาลเช่นกัน ซึ่งครั้งนี้ศาลจังหวัดกาญจนบุรี ใช้เวลาในการสอบคำให้การจำเลยประมาณ 1 ชั่วโมงจึงแล้วเสร็จ
ทั้งนี้ นายวรยุทธ บุญวงศ์ใส เปิดเผยภายหลังว่า วันนี้ศาลจังหวัดกาญจนบุรี ได้นัดสอบคำให้การตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งทางคุณลุงจรูญ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเอง ถือว่าราษฎรฟ้องเอง ดังนั้น เมื่อมีการไต่สวนมีมูลแล้ว ก็จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาว่า ตัวผมเองในฐานะจำเลย ได้กระทำความผิดหรือไม่
ซึ่งศาลท่านได้มีการกำหนดนัดสืบพยาน ในวันที่ 8-9 กันยายน 2563 นี้ โดยฝ่ายโจทก์จะทำการสืบพยาน จำนวน 3 ปาก ส่วนฝ่ายเราจำเลยจะสืบพยานจำนวน 5 ปาก ซึ่งเราจะได้นำเอาเจ้าหน้าที่จากราชบัณฑิตยสถาน เข้ามาพิจารณาถ้อยคำที่ผมพูดไป
ขอเรียนว่าถ้อยคำที่ผมพูดในฐานะทนายความ หากพูดไม่ได้ มันก็จะเป็นบรรทัดฐานให้ทนายความที่ประกอบอาชีพเดียวกับผมจะต้องระมัดระวังในส่วนนี้ว่า การพูดถ้อยคำพวกนี้ ไม่สามารถที่จะพูดได้แล้ว แต่ผมยังเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ผมพูด ไม่ได้เป็นการใส่ความ และไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด สำหรับพยานของเราก็คงจะต้องเชิญพิธีกรรายการช่อง 8 มาเป็นพยานให้ด้วย และจะนำเทปมาเข้ากระบวนการพิจารณาทั้งหมด
ถึงตรงนี้แล้วผมไม่ได้มีความรู้สึกหนักใจอะไร เพราะผมถือเอาความสุจริตเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว เพราะว่าในส่วนที่ผมเข้ามาในกระบวนการในการดำเนินคดี เข้ามาเป็นทนายความให้แก่ครูปรีชา ผมก็เอาหลักข้อเท็จจริงของกฎหมายมานำเสนอตามหน้าที่ของทนายความดำเนินการ ไม่ได้มีการไปดำเนินการใดๆ นอกเหนือจากนั้นเลย ส่วนการพิจารณาคดีและวินิจฉัยต่างๆ ก็เป็นหน้าที่ของศาล โดยผมขอให้ศาลท่าน กำชับวางข้อกำหนด ในส่วนของการที่ทางทนายโจทก์ ได้มีการดำเนินการแจ้งหมายข่าว หรือนำไปลงในเพจ ซึ่งศาลท่านก็ได้กำชับแล้วว่าต่อไปอย่าไปละเมิดกัน
ด้าน นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม กล่าวว่า ศาลจังหวัดกาญจนบุรี ได้นัดสืบพยานโจทก์เป็นฝ่ายแรกในวันที่ 8 ก.ย.ส่วนฝ่ายจำเลยนัดสืบพยานในวันที่ 9 ก.ย.63 ซึ่งเรามีพยานอยู่ 3 ปาก คือ ตัวลุงจรูญ ตัวผม และคนที่ได้ดูและรับชมรายการทีวีทั้ง 2 รายการ ส่วนฝ่ายจำเลยเขาอ้างว่ามีพยานทั้งหมด 5 ปาก คือปากตัวจำเลย รวมทั้งครูปรีชา ส่วนอีก 3 คนนั้นตนจำไม่ได้
ถามว่าพิธีกรรายการทีวีจะมาเป็นพยานให้จำเลยด้วยหรือไม่นั้น ซึ่งฝ่ายจำเลยก็ได้อ้างมาด้วย แต่อันที่จริงแล้วหลักฐานในคลิปรายการทีวีมีความสำคัญมากกว่า ในการที่จะพูดหรือสื่ออะไรออกไปนั้นในคลิปมันชัดเจนอยู่แล้ว ผมคิดว่าเรื่องนี้ศาลท่านดูจากคลิปทานก็คงจะรู้แล้วว่าการพูดเป็นการหมิ่นประมาทหรือไม่ คงไม่ต้องให้ใครไปตีความแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ราชบัณฑิตยสถาน ที่จะมาพิจารณาถ้อยคำด้วยนั้นผมว่าไม่น่าจะมีความจำเป็น
ด้วยวิญญูชนที่ได้ดูการให้สัมภาษณ์ที่บอกว่าการกระทำแบบนี้เป็นการกระทำของอาชญากร ถามว่าทางคนที่ถูกกล่าวหาเกิดความเสียหายแล้วหรือยัง ผมว่าทุกคนที่ได้ดูก็คงจะรู้แล้ว ซึ่งจำเลยได้ไปให้สัมภาษณ์ภายหลังที่ศาลมีคำสั่งถอนอายัดเงินจากบัญชีธนาคารของลุงจรูญแล้ว โดยไปให้สัมภาษณ์ที่กองปราบ 1 ครั้ง และไปออกรายการทางช่อง 8 อีก 1 ครั้ง
สำหรับประเด็นมันไม่มีอะไรมากมายเลยคดีหมิ่นประมาทพวกนี้ ดูจากคลิปที่ผมเอามายื่นส่งศาล ผมว่าศาลก็น่าจะวินิจฉัยได้แล้ว ถ้าศาลมองว่าไม่หมิ่นก็ยกฟ้องได้เลย หรือถ้าศาลท่านมองว่า ทำให้ลุงจรูญเกิดความเสียหาย ท่านก็สามารถตัดสินได้ จริงๆ แล้วทางฝ่ายผมและคุณลุงจรูญ อาจจะไม่จำเป็นต้องเบิกความด้วยซ้ำ เพราะว่าคลิปมันเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว หลังจากที่ศาลอุทธรณ์ อ่านอุทธรณ์ในคดีหลักแล้ว เดี๋ยวต้องอยู่ที่ทางลุงจรูญ แล้วว่าจะตัดสินใจดำเนินคดีกับพวกพยานหรือไม่ เพราะตอนนี้เรายังไม่ได้ยื่นฟ้อง เรายื่นฟ้องเฉพาะเรื่องครูปรีชา กับทนายความ เกี่ยวกับการฟ้องเท็จ ซึ่งศาลเลื่อนไปไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 5 ต.ค.63
แต่หลังจากศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาออกมา ซึ่งมันเป็นคดีที่ต้องห้ามฎีกา ก็เท่ากับว่าคู่ความผูกพันกันแล้ว ข้อเท็จจริงไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแล้ว ซึ่งทุกอย่างจึงขึ้นอยู่กับลุงจรูญว่าจะฟ้องคดีพวกพยานที่มาเบิกความไม่ตรงกับความเป็นจริงหรือไม่
ด้าน ร.ต.ท.จรูญ วิมูล หรือหมวดจรูญ กล่าวว่าแน่นอนว่าคนที่ทำผิดจะต้องได้รับโทษ ไม่เช่นนั้นมันจะไม่หลาบจำ คนอื่นเขาก็จะเอาไปเป็นตัวอย่าง ซึ่งผมก็ไม่อยากให้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับใคร