ศรีสะเกษ- ว่าที่เจ้าสาวศรีสะเกษโต้ลั่นไม่เคยหลอกเอาเงินสินสอดทองหมั้นหนุ่มสุรินทร์รวม 3 แสน เผยหลังหมั้นไปมาหาสู่กันนานกว่า 3 เดือนแต่ไปกันไม่ได้จึงไม่แต่ง เมื่อถูกแจ้งจับพร้อมสู้คดีในชั้นศาล ขณะตำรวจเร่งสรุปพยานหลักฐาน พร้อมเรียกให้คู่กรณีมาเจรจากัน 21 พ.ค.นี้
วันนี้ ( 15 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ นายธีระพงษ์ แต้มทอง อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 11/4 บ้านนา หมู่ 7 ต.ตรึม อ.ศรีขรภูมิ จ.สุรินทร์ ได้เข้าแจ้งความกับ ร.ต.อ.เอกภูมิ พลศักดิ์ พนักงานสอบสวน สภ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษว่า ถูก นางภัคฐิชา ทองทวี อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 80 บ้านกอก หมู่ 3 ต.หนองแก้ว อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งรู้จักกันเพราะว่าไปเที่ยวร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่งที่ นางภัคฐิชา ทำงานอยู่ แล้วเกิดชอบพอกันจนกระทั่งได้คบกันมานานประมาณกว่า 10 วันแล้วไปขอหมั้นด้วยเงินสดจำนวน 30,000 บาท สร้อยทองหนัก 1 บาท และเงินค่าใช้จ่ายในการเตรียมจัดงานแต่งงาน เป็นเงินรวมแล้วกว่า 300,000 บาท แต่ต่อมาก่อนถึงวันแต่งงานไม่สามารถติดต่อว่าที่เจ้าสาวได้ โทรศัพท์หาไม่รับ ส่งไลน์ไปไม่ตอบ ล่าสุด นางภัคฐิชา ได้ส่งไลน์มาบอกว่า ขณะนี้ได้กลับไปอยู่กับสามีเก่าแล้ว จึงขอให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายกับว่าที่เจ้าสาว พร้อมขอเงินค่าสินสอดและเงินต่าง ๆ คืน นั้น
ร.ต.อ.เอกภูมิ พลศักดิ์ พนักงานสอบสวน สภ.กันทรารมย์ กล่าวว่า เรื่องนี้ได้รับแจ้งความร้องทุกข์ไว้แล้ว และกำลังเร่งรวบรวมพยานหลักฐานว่า การกระทำดังกล่าวของ นางภัคฐิชา จะเข้าข่ายผิดกฎหมายข้อใดบ้าง เช่น ฉ้อโกงหรือว่าผิดสัญญาหมั้น ซึ่งได้ออกหมายเรียกให้ นางภัคฐิชา มาพบเพื่อเจรจากับ นายธีระพงษ์ ในวันที่ 21 พ.ค. เวลา 10.00 น. ที่ สภ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ โดย นายธีระพงษ์ แจ้งว่า ขอให้เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนในการเจรจาและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป โดยขณะนี้ได้ส่งหมายเรียกไปยังนางภัคฐิชา เพื่อให้รับทราบเรียบร้อยแล้ว
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่ บ้านเลขที่ 80 บ้านกอก หมู่ 3 ต.หนองแก้ว อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งบ้านเปิดเป็นร้านขายของชำได้พบกับ นางภัคฐิชา ทองทวี อายุ 43 ปี ว่าที่เจ้าสาวกำลังนั่งขายสินค้าอยู่ในบ้าน
นางภัคฐิชา เปิดเผยว่า จากการที่ตนได้อ่านข่าวที่ นายธีระพงษ์ ไปแจ้งความแล้ว นั้น ตนไม่คาดคิดว่านายธีระพงษ์จะกล้าพูดความเท็จออกมา จากการที่คบกันมาแล้วตนเห็นว่าไปกันไม่ได้เนื่องจาก นายธีระพงษ์ บอกว่า หากแต่งงานกันแล้วจะให้ตนไปอยู่บ้านเขา ตนไม่อยากไป ตนอยากอยู่บ้านตนเอง เมื่อนายธีระพงษ์ไม่ตกลงตนจึงบอกไปว่าขอทำงานก่อน ทำให้ นายธีระพงษ์ ไม่พอใจมากบอกว่าไม่มีอะไรจะเสียแล้วจะไปแจ้งความ ตนรู้ทุกอย่างตนมีพยานหลักฐานหมด ตนไม่ได้กลับไปอยู่กับสามีเก่า แต่อยู่บ้านของตนเองมาตลอด การที่พูดออกไปเช่นนั้น เพราะว่าไม่ต้องการให้นายธีระพงษ์พูดอะไรมากไปกว่านี้
หาก นายธีระพงษ์ จะเอาเงินค่าสินสอดทองหมั้นคืนพร้อมที่จะคืนให้ แต่ว่าจะเป็นธรรมกับตนหรือไม่ เพราะหลังหมั้นแล้วตนไปมาหาสู่กับนายธีระพงษ์ นานกว่า 3 เดือน โดยไปอยู่ที่บ้านของ นายธีระพงษ์ สัปดาห์ละ 2- 3 วัน จากนั้นสัปดาห์ต่อมาตนจะกลับมาบ้านเพื่อเปิดร้านขายของตามปกติ เป็นอย่างนี้มาหลายเดือนแล้ว ตนเป็นผู้หญิงเสียหายไปแล้ว ขณะนี้ได้นำเอาพยานหลักฐานไปมอบให้ทนายความเพื่อต่อสู้คดีแล้ว มีอะไรไปคุยกันที่ศาลอย่างเดียวเท่านั้น