พิษณุโลก - อสม.พิษณุโลกบุกศาลากลางจังหวัดฯ ทวงเงินเบี้ยเลี้ยงคัดกรองโควิด 240 บาทต่อวัน จี้แจง 7 ข้อสงสัย ระบุเพจแอนตี้เฟกนิวส์ระบุข่าว อสม.พิษณุโลกไม่ได้รับค่าตอบแทน “เป็นข่าวบิดเบือน” ทั้งที่เป็นเรื่องจริง พร้อมโชว์หนังสือผู้ว่าฯ สั่งออกปฏิบัติงาน
กรณีเจ้าหน้าที่ อสม.พิษณุโลกออกมาเรียกร้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกตรวจสอบเรื่องเบี้ยเลี้ยงออกตรวจคัดกรองโควิด-19 ที่เคยแจ้งว่าจะได้รับ 240 บาท/วัน/คน ระหว่างออกปฏิบัติหน้าที่วันที่ 12-30 เม.ย. ซึ่งแต่ละคนจะได้รับเงินจำนวน 5,040 บาท แต่สุดท้ายหน่วยงานราชการไม่สามารถเบิกเงินดังกล่าวให้ได้ เนื่องจากผิดระเบียบของกรมบัญชีกลาง ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันนี้ (5 พ.ค.) นายคนาธิป นาทิพย์ ประธานอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เขตเทศบาลนครพิษณุโลก นำทีม อสม.กว่า 100 คนรวมตัวกันบริเวณด้านหน้าศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก ชูป้าย เช่น “เราไม่ต้องการเงิน แต่เราต้องการความชัดเจน”..“240 ก็ไม่ได้ 120 ก็ไม่ได้ ได้เท่าไรแน่คะท่านผู้ว่าฯ” ฯลฯ เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรม
นายคนาธิปกล่าวว่า อสม.เดือดร้อน เพราะหลายคนอายุมากกว่าจะใช้อินเทอร์เน็ตใช้คอมพิวเตอร์ลงข้อมูลก็แสนลำบาก บางคนทำไม่เป็น ต้องไปจ้างลูกหลานลงแอปพลิเคชันให้ ช่วงกลางวันเดินไปสำรวจคัดกรองก็เจอปัญหามากมาย ทั้งต้องเตรียมมาสก์ เจลล้างมือ Face shield ค่าน้ำมันรถ ค่าอาหารต้องเรี่ยไรเงินรวมเป็นกองกลางซื้อกันเอง จึงอยากได้ความชัดเจนว่าทำไมหน่วยงานราชการที่แจ้งว่ามีเบี้ยเลี้ยงให้ 240 บาทต่อวันต่อคนกลับคำพูด อีกทั้งบอกว่าจะจ่ายให้ 120 บาทต่อวันต่อคนก็ไม่จ่ายให้อีก หรือระเบียบจ่ายไม่ได้จริงๆ จึงต้องขอทราบความชัดเจนจากผู้ว่าราชการจังหวัด
“อสม.มากันวันนี้เพื่อขอความชัดเจนจากผู้ว่าฯ เรื่องการปฏิบัติงานวัดอุณหภูมิชาวบ้าน 1 ต่อ 100 ครัวเรือน เรื่องการเบิกค่าตอบแทนการลงเวลาตามคำสั่งจะได้หรือไม่ ค่าตอบแทนจะได้ 120 บาท หรือ 240 บาท หรือมื้อละ 50 บาท อยากได้ยินจากท่านผู้ว่าฯ เอกสารประกอบการเบิกต้องทำขึ้นมาใหม่ใช่หรือไม่ ถ้าใช่เท่ากับต้องทำเอกสารปลอมหรือไม่ เพราะงานได้เสร็จเรียบร้อยแล้วหลักฐานก็คือการรายงานผ่านแอปพลิเคชัน”
นอกจากนี้ ศูนย์สุขภาพที่ 2 พิษณุโลกยังให้ข่าวแก่เพจแอนตี้เฟกนิวส์ (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) ว่า อสม.ในจังหวัดพิษณุโลกไม่ได้รับค่าตอบแทนตามที่กำหนดไว้ “เป็นข่าวบิดเบือน” เป็นข่าวปลอม และยังขอความร่วมมือประชาชน ไม่แชร์ ไม่ส่งต่อ ข่าวเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบ แต่ความจริงแล้ว อสม.พิษณุโลกก็ยังไม่ได้รับค่าตอบแทนกันอยู่ดี
นายคนาธิปกล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการทำลายขวัญกำลังใจของ อสม. ทั้งที่ อสม.มีจิตอาสาทำงานเพื่อประชาชน ไม่ได้หวังค่าตอบแทน เพราะ อสม.ทุกคนมองว่าประชาชนที่เราดูแลเหมือนครอบครัวตัวเอง ไม่ต้องมาบอกว่ามีค่าตอบแทนก็ทำอยู่แล้ว แต่เมื่อบอกว่าจะได้ก็ควรเป็นไปตามนั้น
“ถ้าไม่ได้ 240 บาท อสม.จะไม่ขอรับ 120 บาท เพราะไม่พอใช้หนี้ ซึ่งเฉพาะในส่วนของเทศบาลนครพิษณุโลก ไม่รวมทั้งจังหวัด อสม.ผู้ปฏิบัติหน้าที่ยังไม่ได้รับเงินรวมกันทั้งสิ้น 730,000 บาท”
ทั้งนี้ กลุ่ม อสม.ได้ยื่นหนังสือผ่านนายอธิปไตย ไกรราช ผอ.กลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดพิษณุโลก ที่เป็นตัวแทนนายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งติดงานราชการ โดยระบุข้อเรียกร้อง 7 ข้อ คือ 1. ขอความชัดเจนในการปฏิบัติงานวัดอุณหภูมิชาวบ้าน 1 ต่อ 100 ครัวเรือน 2. เบิกค่าตอบแทนได้หรือไม่ 3. อยากได้ยินจากผู้ว่าฯ ค่าตอบแทนจะ 120 หรือ 240 บาท 4. เอกสารต้องทำขึ้นใหม่ใช่หรือไม่ 5. เรียก อสม.ประชุมเฉพาะรายและบางอำเภอมีเจตนาอะไร
6. ท่านจัดการอย่างไร ที่ศูนย์สุขภาพที่ 2 พิษณุโลก ให้ข่าวกับเพจแอนตี้เฟกนิวส์ (กระทรวงดิจิทัลฯ) ว่าข่าว อสม.พิษณุโลกไม่ได้รับค่าตอบแทนที่กำหนดไว้ “เป็นข่าวบิดเบือน” เป็นข่าวปลอม และยังขอความร่วมมือประชาชน ไม่แชร์ ไม่ส่งต่อ ข่าวเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบ ทั้งที่ความจริงแล้ว อสม.ไม่ได้ค่าตอบแทนเลย และ 7. ถ้าไม่ได้ 240 บาท อสม.ไม่ขอรับ 120 บาท เพราะไม่พอใช้หนี้
นอกจากนี้ยังโชว์หนังสือที่ พล.0067/ว.2397 ลงชื่อนายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ ผวจ.พล เรื่อง แอปพลิเคชัน ตรวจวัดอุณหภูมิประชาชน ประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ถึงนายอำเภอทุกอำเภอ ซึ่งระบุใจความย่อว่า ด้วยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและกรมโยธาธิการและผังเมืองร่วมกำหนดแนวทางบริหารสถานการณ์โควิค -19 ได้พัฒนาแอปพลิเคชัน โดยรวมรวมข้อมูลอุณหภูมิของประชาชนทุกคนในทุกจังหวัด ทุกวัน ซึ่งสามารถแสดงข้อมูล Real Time และระบุพิกัดที่อยู่ของประชาชนขณะวัดอุณหภูมิ โดยใช้โครงสร้าง อปพร.ซึ่งดำเนินการร่วมกับ อสม.ในพื้นที่ ซึ่งระยะแรกกำหนดดำเนินการนำร่องใน 3 จังหวัด คือ ภูเก็ต มหาสารคาม และพิษณุโลก และจะดำเนินการครบทุกจังหวัดต่อไป
โดยให้ใช้ฐาน 100 หลังคาเรือนต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน 1 คน (ผู้ปฏิบัติจะต้องมีโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตเพื่อส่งข้อมูลทางแอปพลิเคชัน), ชุดปฏิบัติการให้ อปพร.เป็นหัวหน้าชุด และมี อสม.ร่วมปฏิบัติงาน, จัดส่งรายชื่อแยกเป็นรายหมู่บ้านให้จังหวัดภายในวันที่ 7 เมษายน 63 โดยผู้ปฏิบัติการได้รับค่าตอนแทนจากราชการ
ทั้งนี้มีรายงานด้วยว่า เมื่อเย็นวานนี้ (4 พ.ค.) นายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก นายแพทย์ รัฐภูมิ ชามพูนท รักษาการนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก ได้ประชุมร่วมกับผู้นำจากชมรมอาสาสมัครสาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งได้แก่ นายวสัน กล่ำศรี ประธานชมรม อสม.ระดับจังหวัด, นายวชิระ พุ่มพฤกษ์ ประธานชมรม อสม.อำเภอเนินมะปราง, นางอำนวย ชัยเภา ประธานชมรม อสม.อำเภอบางกระทุ่ม, นางวนิดา พงษ์สมบูรณ์กิจ ประธานชมรม อสม.อำเภอวัดโบสถ์, นายรุ่งฤทธิ์ เรืองรุ่ง ประธานชมรม อสม.อำเภอพรหมพิราม, นางนันท์ศิริ ลมลอย ประธานชมรม อสม.อำเภอชาติตระการ, นายปัญญา สมศรี ประธานชมรม อสม.อำเภอเมือง และนายสิทธิรักษ์ วิชัย เลขาฯ ชมรม อสม.อำเภอบางระกำ แต่ไม่มีชมรม อสม.อำเภอนครไทย และอำเภอวังทอง เข้าร่วม
ผลการพูดคุยทำความเข้าใจในประเด็นปัญหาการสื่อสารคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเรื่องการเบิกจ่ายค่าตอบแทน ในการปฏิบัติงานวัดอุณหภูมิประชากรชาวพิษณุโลก ตามนโยบายของกระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชกรจังหวัดพิษณุโลก เพื่อคัดกรองเฝ้าระวังการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตามที่มีกระแสข่าวก่อนหน้านี้
ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกกล่าวว่า พลังพี่น้อง อสม.ที่ทำงานอย่างทุ่มเทเสียสละตลอดช่วงโควิด-19 แพร่ระบาดในพิษณุโลก ปรากฏผลงานเชิงประจักษ์ จังหวัดพิษณุโลกขึ้นเป็นอันดับ 1 ใน 3 จังหวัดนำร่องที่สามารถวัดอุณหภูมิคัดกรองประชาชนกลุ่มเสี่ยงระหว่าง 10-30 เมษายน ได้มากถึง 6 แสนคนเศษ จากจำนวนประชากรทั้งสิ้น 8 แสนคนเศษ ทำให้ป้องกัน ยับยั้ง รักษา เยียวยา ผู้ที่ได้รับผลกระทบได้อย่างทันท่วงที ปัจจุบันจังหวัดพิษณุโลกมีผู้ป่วยไวรัสโควิด-19 จำนวน 6 ราย รักษาหายและกลับบ้านแล้วทั้ง 6 ราย
จากการเสียสละทุ่มเทดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกรู้สึกซาบซึ้งใจและไม่มีสิ่งใดที่จะตอบแทนน้ำใจของ อสม.ได้ดีที่สุด สิ่งที่ราชการต้องดำเนินการโดยเร่งด่วน คือการเบิกจ่ายค่าตอบแทนการปฏิบัติงานดังกล่าวจากกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัย โดยทำเป็นพิเศษเร่งด่วน
ทั้งนี้ ตามระเบียบสามารถเบิกจ่ายค่าตอบแทนการปฏิบัติงาน อสม. 1 ราย วันละ 6-8 ชม. อัตราละ 120 บาท เกณฑ์ดังกล่าวได้รับการยืนยันและสอบทานจากหัวหน้าหน่วยตรวจสอบภายในจังหวัดพิษณุโลก ว่าสามารถดำเนินการได้ โดยให้แนบหลักฐานการทำงาน รายชื่อประชากรให้ครบถ้วนเป็นปัจจุบัน และรับรองโดยผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (ผอ.รพ.สต.) และผู้ใหญ่บ้าน ยืนยันไม่มีการเบิกจ่ายซ้ำซ้อนจากแหล่งเงินอื่นๆ ทั้งนี้ให้ยื่นเอกสารเบิกจ่ายมายัง ปภ.พิษณุโลกโดยเร็ว