xs
xsm
sm
md
lg

แจงปมดรามา พาคนน่านเครียด พี่สาวหนุ่มใหญ่ดับที่น่านต้องขนศพกลับนครปฐม ขอโทษสื่อสารผิดพลาด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นครปฐม - พี่สาวหนุ่มใหญ่ดับที่เมืองน่านขนศพกลับเผานครปฐม ขอโทษคนน่าน มีการสื่อสารผิดพลาด ไม่เคยคิดตำหนิคนน่านใจดำ โดยได้รับการดูแลจากทีมหมอพยาบาลดีมาก ที่พูดเพราะพ้อวัดชื่อดังนครปฐมไม่รับเผา

วันนี้ (20 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวติดตามกรณีที่นางจิราพร โพธิบุตร อายุ 51 ปี อยู่บ้านเลขที่ 7/329 ม.8 ต.อ้อมใหญ่ อ.สามพราน จ.นครปฐม พร้อมญาติ ได้นำศพของ นายศิริชัย โพธิบุตร อายุ 41 ปี น้องชาย ที่เสียชีวิตหลังจากมีอาการป่วยและถูกนำตัวไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลน่าน กระทั่งมาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 13 เมษายน 63 ที่ผ่านมา และเมื่อวันที่ 15 เมษายน ได้นำศพมาเผาที่วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม โดยเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ได้ให้เข้าโครงการสวดเผาฟรี โดยทางญาติได้ขออนุเคราะห์ในการจัดการ โดยมีการสอบถามปมในการที่นำศพข้ามภาคจากจังหวัดน่านมาเผาที่วัดไผ่ล้อม ซึ่งได้ทราบว่า ทางสำนักสงฆ์ที่บ้านนาท้อ ต.บ้านสะเนียน อ.เมือง จ.น่าน ไม่รับเผาศพและติดต่อมายังวัดแห่งหนึ่งในเขตอำเภอนครชัยศรี ก็ไม่รับเผาศพ จึงได้เกิดเป็นประเด็นดรามาดังกล่าว

ต่อมา นายวิศิษฐ์ ทวีสิงห์ นายอำเภอเมืองน่าน ได้สั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเนื่องจากเป็นประเด็นที่ชาวน่านไม่สบายใจ โดยพบว่า สถานที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ สำนักสงฆ์มหายศนันท์ บ้านนาท่อ ตำบลไชยสถาน อำเภอเมือง จังหวัดน่าน ซึ่งได้สอบถามไปยังผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ก็ไม่พบว่ามีใครมาขอติดต่อเพื่อทำการเผาศพ ซึ่งมีป่าสุสานที่ใช้ประโยชน์ร่วมกันหลายหมู่บ้าน ซึ่งก็ไม่ปรากฏว่ามีการประสานเข้ามา โดยสอบถามไปที่พระยัศนันท์ ก็ไม่พบว่ามีการติดต่อเข้ามา ซึ่งอยากจะให้มีการทำความเข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น และในพื้นที่ก็ไม่เคยมีการห้ามการเผาศพให้คนตายจากการติดเชื้อด้วยไวรัสโควิด-19 แต่มีการประชาสัมพันธ์ให้เผาศพให้ถูกต้องตามกระบวนการ

ล่าสุด นางจิราพร โพธิบุตร อายุ 51 ปี ได้ออกมาชี้แจงต่อสื่ออีกครั้ง พร้อมกล่าวขอโทษกับชาวจังหวัดน่านทุกคน ที่เกิดกระแสดังกล่าว ซึ่งตนเองไม่เคยคิดว่าจะเป็นประเด็นที่ใหญ่โตและเป็นการสื่อสารกันที่เข้าใจผิด เนื่องจากตนเองได้แสดงความท้อแท้ และสิ้นหวังกับวัดแห่งหนึ่งในเขตอำเภอนครชัยศรี ที่ปฏิเสธการรับศพน้องชายกลับมาเผาที่บ้าน ซึ่งมีญาติๆ รวมกันอยู่ที่นี่มาก และที่ผ่านมา ทีมแพทย์และพยาบาล รวมถึงเจ้าหน้าที่ทั้งหมด รวมถึงแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่เก็บศพก็พูดจาได้ดีมากๆ

ส่วนประเด็นที่ต้องนำศพน้องชายกลับมาเผาที่จังหวัดนครปฐม เพราะเป็นความตั้งใจที่จะไปเผาศพน้องชายที่จังหวัดน่าน แต่ก็ติดเรื่องของการเดินทางเข้าพื้นที่ โดยได้ติดต่อไปยังศาลากลางจังหวัดน่าน และได้มีเจ้าหน้าที่โทร.กลับมาคือพูดจาดีมาก แต่ได้คุยกันแค่ 2 ประเด็น คือ การเข้าพื้นที่มารับศพหรือมาเผาศพต้องกักตัว 14 วัน และการเข้ามาเพื่อเผาศพและเดินทางกลับเลยสามารถทำได้ แต่ต้องมีสถานที่ในการแจ้งให้ชัดเจน แต่ตนเองมาคำนวณแล้วคิดว่ากลับออกมาไม่ถึงนครปฐมให้ทันช่วงเวลากำหนดเคอร์ฟิว โดยไม่ได้มีทางออกทางอื่นมาชี้แจงให้รู้ว่าจะมีทางใดบ้าง ที่จะสามารถทำได้ จึงได้ตัดสินใจต้องนำน้องกลับมาเผาที่จังหวัดนครปฐมแทน เพราะมีคนมาตำหนิว่า พี่น้องและญาติหลายคนทำไมถึงเผาน้องไม่ได้ จึงได้ตัดสินใจร่วมกับพี่น้องโดยได้ไปบอกกับพ่อว่าจะทำแบบนี้

ส่วนกรณีที่มีคนมาให้ข้อมูลอีกว่า ได้มีการประสานขอนำศพของน้องไปเผาโดยโรงพยาบาลจัดการให้ฟรีนั้น มีถามจริง แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดว่าจะทำแบบไหนแล้วเงียบไป ส่วนประเด็นที่มีคนแจ้งมาอีกว่ามีการแจ้งยกเลิกจากญาติ กรณีที่มีการเสนอไปแล้วว่ามีโครงการรถส่งศพฟรี โลงศพฟรี และมีค่าใช้จ่ายให้อีก 2 พันบาทตนเองไม่เคยได้รับการติดต่อจากใครเลย จนถึงวันนี้

ซึ่งถ้ามีการสอบถามมาก็ต้องมีการพูดคุยกันโดยไม่เคยปฏิเสธอะไรออกไป โดยคำพูดที่บอกว่า ตนเองได้พยายามบอกว่าตนเองมีใบรับรองการตายจากแพทย์และสามารถโทร.สอบถามได้ที่แพทย์และพยาบาลจังหวัดน่าน คือตนเองได้บอกกับน้าไปว่า จะขอชี้แจงกับวัดที่จังหวัดนครปฐมที่ไม่รับเผาศพ ซึ่งเพิ่งมาทราบไม่นานนี้จากพ่อว่า สำนักมหายศนันท์ นั้นพระยศนันท์ ได้ออกจากสถานที่นี้ไปแล้ว 3-4 ปี ก็เข้าใจว่าเขาไม่มาเผาให้ และไม่รับเผา เพราะไม่มีคนหรือพระอยู่ที่นั่น เรื่องนี้ตนเองเพิ่งทราบจริงๆ แต่น้องชายตนเองเป็นลูกศิษย์พระยศนันท์ บวชให้และเป็นลูกศิษย์ที่เคยดูแลกันก่อนที่พระยศนันท์ จะไปธุดงค์ที่จังหวัดเชียงใหม่ ตนเองไม่เคยต่อว่าคนน่านว่าใจดำ ไม่เคยตั้งใจต่อว่าหรือมีอคติแต่อย่างใด

นอกจากนี้ ที่บ้านนาท้อ หรือนาท่อ ตนเองก็ไม่ได้เข้าไป เพราะเข้าไม่ได้ และได้แต่สอบถามทางโทรศัพท์ ก็จะทราบข้อมูลจากการโทร.สอบถามกันซึ่งอาจจะบอกข้อมูลสถานที่และข้อมูลพื้นที่ไม่ชัดเจน แต่สอบถามไปที่พ่อซึ่งก็บอกว่าได้โทร.ติดต่อสอบถามไปที่พระยศนันท์จริงๆ ว่าได้คำตอบมาแบบนี้ ส่วนปัญหาที่มีคนถามว่าทำไมถึงโยงไปที่เงิน 5 พันบาทที่เยียวยาจากรัฐบาล เพราะสื่อมวลชน ได้สอบถามว่า ไปกู้เงิน 1 หมื่นบาทมาเพื่อ จะไปรับศพน้องแล้วได้ลงทะเบียนรับเงินเยียวยาหรือไม่ ตนเองก็ตอบไปว่าลง และได้รับแต่น้องสาวและน้องเขยก็ลง น้องสาวยังไม่ชัดเจน แต่น้องเขยขับแท็กซี่แต่ถูกแจ้งว่าเป็นเกษตรกร โดยไม่เคยคิดจะโจมตีรัฐบาลแต่อย่างใด

ซึ่งประเด็นที่มีการสงสัยว่า ตนเองกับทางวัดไผ่ล้อม มีการจัดฉากที่จะนำศพน้องชายมาเผาที่วัดไผ่ล้อม เพื่อจะโปรโมตวัด และมีการโยนความผิดให้คนจังหวัดน่านเป็นคนใจดำนั้น เรื่องนี้ก็ยิ่งไม่เป็นความจริง ตนเองไม่เคยรู้จักมาก่อนว่าหลวงพี่น้ำฝนเป็นใคร แต่เคยได้ยินชื่อ ซึ่งวันที่โดนปฏิเสธจากวัดที่อำเภอนครชัยศรี จึงได้ให้น้องๆ ช่วยกันค้นหาวัดที่มีการเผาศพฟรี โดยมาพบในข่าว ก็ได้โทร.มาแต่ยังไม่มีคนรับสายจึงได้มาที่วัดมาพบพระเลขาฯ ก็บอกว่ารับและฟรี จึงได้รีบนำมาเผาที่วัดไผ่ล้อม และยังมีประเด็นคนมาด่าในโลกโซเชียลว่าต้องการเงิน ต้องการดัง ขอบอกว่าไม่จริงถึงตนจะมีเงินน้อยแต่ก็ไม่เคยคิดจะทำแบบนั้น และยืนยันว่าไม่เคยคิดว่าคนจังหวัดน่านเป็นคนไม่มีน้ำใจ

“อยากจะขอขอบคุณคุณหมอ พยาบาล และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลน่าน ซึ่งได้ประสานกันมาตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม ตั้งแต่รถพยาบาลมารับน้องไปรักษาที่โรงพยาบาลว่าทำหน้าที่ดีมาก แต่การดูแลประสานงานจากส่วนงานอื่นๆ ในการให้ทางออกกับเราไม่มีเราถึงต้องตัดใจเอาน้องกลับมาเผาที่นครปฐม ซึ่งขอโทษคนจังหวัดน่านที่เกิดเรื่องแบบนี้ที่สื่อสารกันผิดจนทำให้เกิดความไม่สบายใจ ถ้าเป็นไปได้หลังจากโรคโควิด-19 หายไป อยากจะเดินทางไปขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่โรงพยาบาลน่าน ด้วยตัวเอง และเราได้ให้เบอร์โทรศัพท์ทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลว่าถ้ามีใครจะติดต่ออะไรมาให้โทร.มาได้เลย เพราะตนเองไม่มีเงินในมือถือแล้ว เงิน 100 บาทก็มีค่ากับเรามากตอนนี้เพราะมันเป็นช่วงวิกฤตจริงๆ ถ้ามีใครโทร.มาจากจังหวัดน่านมาสอบถาม ก็จะดีใจมากอยากจะพูดให้เข้าใจถึงเรื่องราวทั้งหมด” นางจิราพร กล่าวปิดท้ายด้วยความเครียด
กำลังโหลดความคิดเห็น