ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - “ธรรมนัส” รมช.เกษตรฯ ติดตามความคืบหน้าภารกิจของกรมฝนหลวง และการบินเกษตร ร่วมมือกับกองทัพอากาศ แก้ปัญหาภัยแล้ง และภารกิจยับยั้งและบรรเทาความรุนแรงของการเกิดพายุลูกเห็บหมอกควันไฟป่า
วันนี้ (11 มี.ค. 63) ที่ห้องประชุมท่าอากาศยานกองบิน 41 จังหวัดเชียงใหม่ ร้อยเอก ธรรมมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีความห่วงใยประชาชนในเขตพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
จากการติดตามสภาพอากาศในช่วงระยะนี้พบว่าสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยตอนบนมีความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน และทะเลจีนใต้ประกอบกับมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุม ลักษณะอากาศแบบนี้จะทำให้บริเวณดังกล่าวมีโอกาสเกิดพายุฤดูร้อนขึ้น โดยมีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรงและอาจทำให้มีลูกเห็บตกได้ในบางพื้นที่ ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิตของเกษตรกรได้ จึงมอบหมายให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตรประสานความร่วมมือกับกองทัพอากาศ ดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์เพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งและการบรรเทาภัยพิบัติเชิงพื้นที่ด้วยการปฏิบัติการฝนหลวง โดยให้ปฏิบัติงานด้วยความรวดเร็วและต่อเนื่อง ตามตำราฝนหลวงพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
นายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้กล่าวว่า กรมฝนหลวงและการบินเกษตรมีการเปิดปฏิบัติการฝนหลวงประจำปี ตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เนื่องจากสถานการณ์ภัยแล้งและภัยพิบัติมีความรุนแรง ซึ่งเป็นการปฏิบัติการเร็วกว่าปีก่อนๆ สำหรับการปฏิบัติการยับยั้งพายุลูกเห็บได้มีการตั้งหน่วยปฏิบัติการ 3 หน่วย ได้แก่ หน่วยฯ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพิษณุโลก และหน่วยฯ จังหวัดอุดรธานี ตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์-31 พฤษภาคม 2563 โดยใช้เครื่องบินสมรรถนะสูง Super King Air จำนวน 2 ลำ ของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร และเครื่องบินโจมตี แบบที่ 7 Apha Jet จำนวน 2 ลำ ของกองทัพอากาศ โดยกรมฝนหลวงและการบินเกษตรได้บูรณาการกับกองทัพอากาศในการสนับสนุนเครื่องบินและพัฒนาพลุซิลเวอร์ไอโอไดด์ที่ใช้ในการปฏิบัติการ ซึ่งจะช่วยบรรเทาควารุนแรงและยับยั้งการเกิดพายุลูกเห็บเพื่อลดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สิน ครอบคลุมพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง
ทั้งนี้ ในช่วงเวลาเดียวกัน กรมฝนหลวงและการบินเกษตรได้มีการปฏิบัติการบรรเทาหมอกควันไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมีการตั้งหน่วยปฏิบัติการ 2 หน่วย ได้แก่ หน่วยฯ จังหวัดเชียงใหม่ และหน่วยฯ จังหวัดพิษณุโลก ตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์-30 เมษายน 2563 เพื่อลดความหนาแน่นของหมอกควัน และลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 รวมทั้งการเพิ่มความชุ่มชื้นให้พื้นที่ป่าไม้ในพื้นที่ภาคเหนือ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายนของทุกปี มักเกิดพายุฤดูร้อน ฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และมีลูกเห็บตก โดยปรากฏการณ์ลูกเห็บจะเกิดจากการยกตัวของเมฆอย่างรวดเร็วและมีแกนผลึกน้ำแข็งภายในเมฆน้อย ส่งผลให้เกิดผลึกน้ำแข็งขนาดใหญ่ร่วงหล่นลงมาสู่พื้นโดยที่ละลายไม่ทัน
สำหรับเทคนิคการปฏิบัติการฝนหลวงเมฆเย็นเพื่อยับยั้งและบรรเทาความรุนแรงของพายุลูกเห็บ จะใช้เครื่องบินสมรรถนะสูง และเข้าถึงเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้พลุซิลเวอร์ไอโอไดด์เพื่อเพิ่มปริมาณแกนผลึกน้ำแข็งในเมฆเย็นที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส ทำให้ลดการเกิดผลึกน้ำแข็งขนาดใหญ่กลายเป็นผลึกน้ำแข็งขนาดเล็กจำนวนมากละลายเป็นเม็ดฝนตกลงสู่พื้น และเป็นการเพิ่มปริมาณน้ำฝนที่มากกว่าฝนธรรมชาติ โดยที่ผ่านมาได้ปฏิบัติการฝนหลวงทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์-8 มีนาคม 2563 ขึ้นบินจำนวน 17 วัน คิดเป็น 222 เที่ยวบิน ใช้สารฝนหลวง 192.15 ตัน และยิงพลุสารซิลเวอร์ไอโอไดด์ จำนวน 51 นัด จังหวัดที่มีรายงานว่าฝนตก 34 จังหวัด และปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างกักเก็บน้ำจำนวน 4.377 ล้าน ลบ.ม.
อย่างไรก็ตาม กรมฝนหลวงและการบินเกษตร โดยศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ และศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาตะวันออกเฉียงเหนือจะติดตามสภาพอากาศ และสถานการณ์ภัยพิบัติอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง ทั้งนี้ สามารถแจ้งข้อมูลและส่งรูปภาพการเกิดลูกเห็บในพื้นที่เพื่อสนับสนุนข้อมูลแก่การปฏิบัติการยับยั้งและบรรเทาความรุนแรงจากลูกเห็บทาง Facebook : กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือและศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนี้ สามารถติดตามข้อมูลผลตรวจเรดาร์ทั่วประเทศทางเว็บไซต์กรมฝนหลวงและการบินเกษตร และสามารถติดตามการแจ้งเตือนสภาพ อากาศโอกาสเกิดลูกเห็บได้ทางช่องทางต่างๆ ของกรมฝนหลวงและการบินเกษตรเป็นระยะๆ