ลำปาง - ชนะยกแรกแล้ว คนบ้านแหง..เฮทั้งตำบล ยื่นฟ้อง อบต.อ้างประชาคมเท็จเอื้อทุนทำเหมืองลิกไนต์ได้ไฟเขียวเข้าทำประโยชน์ป่าสงวนฯ แม่งาวฝั่งซ้าย ล่าสุดศาลปกครองฯพิพากษาเพิกถอนใบอนุญาตแล้ว รอผลคดีถอนประทานบัตรอีก 2 คดี
ชาวบ้านแหง อ.งาว จ.ลำปาง ที่คัดค้านการทำเหมืองแร่ถ่านหินในพื้นที่บ้านแหงเหนือ ต.บ้านแหง อ.งาว รวมตัวกัน 440 คนฟ้องศาลปกครองเมื่อ 7 พ.ย. 57 เพื่อขอให้เพิกถอนใบอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเพื่อทำเหมืองแร่ และใบอนุญาตแผ้วถางป่า ของบริษัทเขียวเหลือง จำกัด ที่มีโครงการเข้ามาทำเหมืองถ่านหินลิกไนต์ในพื้นที่
ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในพื้นที่ไม่เคยมีการทำประชาคมเรื่องการขอใช้พื้นที่ป่าแต่อย่างใด มีเพียงการจัดเวทีชี้แจงข้อมูลเรื่องเหมืองแร่ แต่กลับนำเวทีดังกล่าวไปอ้างว่าเป็นการประชาคม (ประชาคมเท็จ) และองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแหงในปีนั้นกลับอ้างประชาคมเท็จดังกล่าว ลงมติเห็นชอบให้บริษัทเหมืองแร่ใช้พื้นที่ป่าสงวน จนบริษัทเหมืองแร่นำมตินี้ไปยื่นขอใบอนุญาตใช้พื้นที่ป่าสงวนและใบแผ้วถางป่า จนได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมป่าไม้ ท่ามกลางเสียงคัดค้านของชาวบ้านมาโดยตลอด
ล่าสุดแหล่งข่าวแจ้งว่า เมื่อ 4 มี.ค.ที่ผ่านมา ศาลปกครองเชียงใหม่ได้นั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ ส.13/2557 ระหว่าง นางสมหมาย หาญเตชะ ที่ 1 กับพวกรวม 439 คน ผู้ฟ้องคดีอธิบดีกรมป่าไม้ ที่ 1 กับพวกรวม 8 คน ประเด็นที่ศาลพิจารณามีทั้งหมด 3 ประเด็น กล่าวโดยสรุปว่า
ประเด็นที่ 1 คำฟ้องของผู้ฟ้องคดีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่..คำพิพากษาโดยสรุประบุว่า ผู้ฟ้องคดีทั้ง 439 คน เป็นประชาชน ม.1 ม.7 ต.บ้านแหง อ.งาว จ.ลำปาง ที่ทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติแม่งาวฝั่งซ้าย ซึ่งอยู่ในเขตคำขอประทานบัตร แม้ว่าผู้ฟ้องคดีบางรายจะไม่มีเอกสารสิทธิ แต่มีลักษณะการทำประโยชน์มาก่อนและต่อเนื่อง จึงถือได้ว่าเป็นประชาชนผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง และมีความเสียหายมากเป็นพิเศษกว่าคนทั่วไป จึงมีสิทธิมาฟ้องคดีต่อศาลได้ และอยู่ในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด จึงชอบด้วยกฎหมาย
ประเด็นที่ 2 การออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติเพื่อการทำเหมืองแร่ถ่านหินลิกไนต์ ตามคำขอประทานบัตรที่ 5/2553-2/2553 ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และที่ 3 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
พิพากษาว่า ตั้งแต่มีการปิดประกาศเกี่ยวกับโครงการพิพาทให้รับทราบ ผู้ฟ้องคดีได้มีการยื่นหนังสือคัดค้านโครงการ และมีการคัดค้านมาโดยตลอด แสดงให้เห็นว่ามีความขัดแย้งภายในชุมชน อีกทั้งรายงานการประชุมเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2553 มีเพียงข้อมูลชี้แจงเฉพาะผลประโยชน์ของบริษัทเท่านั้น ไม่มีการชี้แจงเกี่ยวกับการใช้พื้นที่ป่าไม้เพื่อการเหมืองแร่ หรือข้อมูลเกี่ยวกับการทำเหมืองแร่แต่อย่างใด ถือว่าไม่มีการชี้แจงข้อมูลอย่างถูกต้อง จึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 57 58 66 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ส่วนการตั้งคณะกรรมการไตรภาคีเพื่อมาแก้ไขปัญหาความขัดแย้งก็ไม่ประสบผลสำเร็จ ไม่สามารถยุติปัญหาได้ และไม่ได้รับการแก้ไข ดังนั้น การอนุมัติอนุญาตหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติจึงขัดต่อระเบียบกรมป่าไม้ ว่าด้วยการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ 2548 ข้อ 8 (5) จึงพิพากษาให้เพิกถอน และให้ถือว่าไม่มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ต้น
ประเด็นที่ 3 ใบอนุญาตให้แผ้วถางป่า ตามคำขอประทานบัตรที่ 5/2553-2/2553 ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และที่ 3 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่..พิพากษาสรุปว่า ถึงแม้ว่าบริษัทจะเพิกถอนใบอนุญาตให้แผ้วถางป่าไปเองจนสิ้นผลแล้ว แต่การพิจารณาในการออกใบอนุญาตฯ เห็นว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย
กรณีขอให้เพิกถอนรายงานการประชุมสภา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2553 รายงานการประชุมชี้แจงราษฎรหมู่ที่ 1 และหมู่ที่ 7 ต.บ้านแหง อ.งาว เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2553 และหนังสือของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 ลงวันที่ 28 กันยายน 2553 เป็นกระบวนการภายในทางปกครอง ซึ่งเห็นว่าย่อมสิ้นผลไปด้วยคำพิพากษานี้ จึงไม่ต้องมีคำพิพากษาให้เพิกถอน ส่วนคำขออื่นให้ยก
ทั้งนี้ คดีปกครองที่กลุ่มชาวบ้านบ้านแหงในนาม กลุ่มรักษ์บ้านแหง ได้ยื่นฟ้องยังมีอีกสองคดี คือ คดีเพิกถอนใบไต่สวนประกอบคำขอประทานบัตร ซึ่งตัดสินคดีไปแล้ว โดยกลุ่มรักษ์บ้านแหงแพ้คดี เนื่องจากความสับสนระหว่างชื่อของกำนัน และผู้ใหญ่บ้านที่คล้ายกัน (ซึ่งเป็นสาระสำคัญของคดี) ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการอุทธรณ์คำพิพากษา และอีกหนึ่งคดีคือการฟ้องเพิกถอนประทานบัตรทำเหมืองแร่ ที่ทางบริษัท เขียวเหลือง จำกัด ได้ประทานบัตรไปแล้วหนึ่งแปลง ซึ่งจะนัดพิจารณาคดีครั้งแรกวันที่ 12 มีนาคมนี้ และนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 22 เมษายน 2563