บุรีรัมย์ - ที่แท้เป็นเจ้าอาวาสวัดดัง พระขับวอลโว่ชนยายบุรีรัมย์อายุ 64 ปี ขี่ จยย.พ่วงข้างดับ โผล่เคลียร์ญาติคนตายถึงบ้าน เบื้องต้นมอบเงินลูกชาย 10,000 บาทเป็นค่าทำศพ พร้อมรับดูแลงานศพให้ทั้งหมด ญาติไม่ติดใจเหตุคู่กรณีไม่ได้หนี ส่วนคดีให้เป็นหน้าที่ตำรวจ
วันนี้ (7 มี.ค.) ความคืบหน้ากรณีที่รถเก๋งยี่ห้อวอลโว่ สีบรอนซ์ ทะเบียน กฉ 3952 ศรีสะเกษ ซึ่งมีพระเป็นคนขับ พุ่งชนรถจักรยานยนต์พ่วงข้าง บนถนนสายบุรีรัมย์-ประโคนชัย บริเวณหน้าค่ายอาสารักษาดินแดน (อส.) ต.เสม็ด อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เป็นเหตุให้ นางจันทร์เพ็ญ คงสืบชาติ อายุ 64 ปี ยายที่ขี่รถจักรยานยนต์พ่วงข้างเสียชีวิตคาที่ในสภาพแขนขาหักผิดรูป ศีรษะเละสมองกระจายเกลื่อนถนนนั้น
ล่าสุดจากการตรวจสอบพบว่าพระที่ขับรถเก๋งวอลโว่ชนยายเสียชีวิตเป็นเจ้าอาวาสวัดทองธรรมชาติ ต.ปราสาท อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ ซึ่งจากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่าเจ้าอาวาสได้ขับรถเก๋งคันดังกล่าวมาจากวัดที่ อ.บ้านด่าน เพื่อจะไปศึกษาธรรมที่วิทยาลัยสงฆ์บุรีรัมย์ แต่พอมาถึงจุดเกิดเหตุรถจักรยานยนต์พ่วงข้างได้ขี่ออกมาจากหมู่บ้านเพื่อจะไปยูเทิร์น ทำให้หลวงพ่อซึ่งขับออกมาจากทางตัวเมืองเบรกไม่ทันก็ได้พุ่งชนรถจักรยานยนต์เต็มแรงจนเป็นเหตุให้คู่กรณีเสียชีวิต เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ได้ตั้งข้อหา ต้องรอการสอบสวนข้อเท็จจริงก่อน
นายสมศักดิ์ หงส์สารัมย์ อายุ 64 ปี เพื่อนบ้านของผู้เสียชีวิต บอกว่า ปัจจุบันยายจันทร์เพ็ญ ผู้ตาย อาศัยอยู่กับลูกชาย 2 คนหลังจากสามีเสียชีวิต มีอาชีพขายน้ำหวานตามตลาดคลองถม ฐานะยากจน ช่วงเช้าได้ขี่รถจักรยานยนต์พ่วงข้างจะไปซื้อของและจองล็อกที่ตลาดไว้ แล้วตอนเย็นจะมารับลูกชายออกไปขายด้วยกัน แต่ก็มาเกิดอุบัติเหตุจนเสียชีวิตดังกล่าว ซึ่งหลังเกิดเหตุเจ้าอาวาสที่เป็นคนขับรถเก๋งคู่กรณีได้พาญาติโยมมาหาลูกชายของคนตายที่บ้านเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งตนได้ร่วมพูดคุยด้วย
เบื้องต้นเจ้าอาวาสได้มอบเงินแก่ลูกชายคนตาย 10,000 บาทสำหรับเป็นค่าทำศพ พร้อมทั้งรับจะดูแลเรื่องค่าจัดงานศพให้ทั้งหมด แต่หากครอบครัวไม่สะดวกจะจัดงานศพที่บ้าน พร้อมจะรับศพไปประกอบพิธีให้ที่วัดของเจ้าอาวาสเอง แต่ทางญาติและเพื่อนบ้านตกลงว่าจะจัดงานศพที่วัดใกล้บ้าน ทางเจ้าอาวาสรับปากจะดูแลให้
หลังจากเจ้าอาวาสมาแสดงความผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางญาติไม่ได้ติดใจจะเอาความอะไรเพราะเจ้าอาวาสไม่ได้หลบหนี แต่ที่ท่านไม่ลงจากรถในตอนแรกท่านบอกว่าตกใจ ส่วนกรณีที่ต้องขับรถเองนั้นบอกว่าคนขับไม่อยู่แต่ท่านมีภารกิจที่จะต้องมาที่วิทยาลัยสงฆ์จึงได้ขับรถมาเอง อย่างไรก็ตาม ญาติก็ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะคิดว่าเป็นอุบัติเหตุ ส่วนเรื่องคดีให้เป็นหน้าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการ