ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - เจ้าของร้านกรอบรูปแจงกรณีสาวสายบุญโพสต์โวยเอายันต์เทพบูชามาจากเนปาลไปใส่กรอบแต่ล่องหน ยอมรับผิดและขอโทษลูกค้าแล้ว ยันไม่ได้นิ่งนอนใจพลิกแผ่นดินหายังไม่พบ พร้อมรับผิดชอบแต่ตกลงราคากันไม่ได้ ด้านคู่กรณีปิดปากเงียบ
จากกรณีเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 63 ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “Pitchaya Jaidee” โพสต์ภาพยันต์ที่เป็นรูปเทพเจ้าตามความเชื่อส่วนตัวพร้อมบอกเล่าเรื่องราวว่า นำยันต์ที่เป็นรูปภาพเทพเจ้าตามความเชื่อขนาดกว้าง 18 นิ้ว ยาว 24 นิ้ว ที่บูชามาจากประเทศเนปาล พร้อมกับภาพอื่นที่มีขนาดเล็กอีก 4 ภาพ ไปใส่กรอบที่ร้านแห่งหนึ่งใกล้กับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เมื่อช่วงก่อนเทศกาลปีใหม่ แต่ว่าเมื่อไปรับภาพที่ใส่กรอบหลังเทศกาลปีใหม่ปรากฏว่าได้รับคืนแต่ภาพขนาดเล็ก 4 ภาพเท่านั้น ส่วนภาพยันต์รูปเทพเจ้าที่มีขนาดใหญ่ทางร้านแจ้งว่าหาไม่พบ แต่จะลองค้นหาให้อีกครั้ง หากยังไม่พบจะรับผิดชอบให้เป็นเงิน 2,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ผู้โพสต์ระบุว่าไม่ได้ต้องการเงิน เพราะยันต์ดังกล่าวนอกจากจะมีมูลค่าจริงไม่น้อยกว่า 1,000 เหรียญสหรัฐแล้ว ยังมีคุณค่าทางจิตใจที่ประเมินค่าไม่ได้ เนื่องจากเป็นงานทำมือและมีชิ้นเดียวในโลก ซึ่งต้องการให้ทางร้านแสดงความรับผิดชอบอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยากให้ติดตามหายันต์คืนกลับมาให้ได้ และขอความร่วมมือว่าหากผู้ใดพบเห็นยันต์ดังกล่าวหรือติดมือไปที่ใด อยากให้ช่วยแจ้งเบาะแสหรือนำมาคืน โดยโพสต์ดังกล่าวมีผู้เข้าแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์และแชร์ต่อเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่แสดงความเห็นใจเจ้าของโพสต์ และตำหนิทางร้านกรอบรูป
ทั้งนี้ จากการพยายามติดต่อผู้ใช้เฟซบุ๊กดังกล่าวผ่านทางข้อความเพื่อขอพูดคุยสอบถามรายละเอียดและข้อเท็จจริง รวมทั้งความคืบหน้าเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้น ตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค. 63 เบื้องต้นผู้ใช้เฟซบุ๊กดังกล่าวไม่มีการตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น ขณะที่จากการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับร้านกรอบรูป ตามที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กดังกล่าวให้รายละเอียดไว้ในโพสต์นั้น พบว่าเป็นร้านรับทำกรอบรูปแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนถนนโชตนา ตรงข้ามกับตลาดศิริวัฒนา (กาดธานินทร์) ใกล้กับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ในตัวเมืองเชียงใหม่
จากการสอบถามที่ร้านศักดิ์สิทธิ์เฟรมกรอบรูปนั้น เบื้องต้นนางมาลี ศักดิ์ชัยยันต์ อายุ 56 ปี เจ้าของร้าน ยอมรับว่า ร้านของตนเป็นร้านที่ทางผู้ใช้เฟซบุ๊กดังกล่าวพาดพิงถึง และรับว่าเป็นความผิดของทางร้านด้วยเช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมาได้ขอโทษลูกค้าไปแล้ว อย่างไรก็ตามชี้แจงว่าทางร้านไม่ได้นิ่งนอนใจในการที่จะพยายามค้นหาติดตามยันต์ดังกล่าวมาคืนให้แก่ลูกค้า ทั้งการค้นหาในร้านและตรวจสอบว่ามีลูกค้ารายอื่นที่มารับของไปผิดหรือไม่ โดยมีการพิมพ์ป้ายไวนีลติดประกาศไว้หน้าร้านด้วย แต่จนถึงเวลานี้ไม่ทราบจริงๆ ว่ายันต์ดังกล่าวไปอยู่ที่ใด
ขณะเดียวกันบอกว่า ตอนที่ลูกค้านำยันต์มาให้ใส่กรอบทางร้านไม่ทราบว่ายันต์ดังกล่าวนั้นลูกค้านำมาจากที่ใด และมีราคาสูงมากน้อยเพียงใด เพราะทางร้านมีหน้าที่เพียงใส่กรอบให้แก่ลูกค้าเท่านั้น พร้อมทั้งยืนยันว่าไม่ได้นำไปขายต่อแน่นอน เพราะทำอาชีพรับทำกรอบรูปมานานประมาณ 30 ปีคงไม่ทำลายอาชีพของตัวเองอย่างนี้ ส่วนที่บอกว่าจะชดใช้เงินให้ 3,000 บาทกรณีที่หายันต์กลับมาคืนให้ลูกค้าไม่ได้นั้นเป็นทางออกที่ทางร้านพยายามจะแสดงความรับผิดชอบหากหาไม่พบจริงๆ ซึ่งสำหรับทางร้านจำนวนเงินดังกล่าวถือว่ามากพอสมควร เทียบกับรายได้และกำไรจากการรับทำกรอบรูปที่ไม่ได้มากมาย
สำหรับยันต์ที่หายไปนั้น นางมาลีบอกว่า ลูกค้านำมาให้ใส่กรอบพร้อมกับยันต์ที่มีขนาดเล็กกว่าอีก 4 ผืน เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 62 ตกลงราคากันที่ 1,750 บาท ลูกค้าวางมัดจำ 500 บาท และทางร้านนัดให้มารับในวันที่ 12 ธ.ค. 62 แต่เมื่อถึงเวลานัดไม่มารับ จนกระทั่งวันที่ 18 ธ.ค. 62 โทรศัพท์ไปตาม แต่ลูกค้าไม่รับสาย และในวันที่ 24 ธ.ค. 62 โทรศัพท์ไปหาได้คุยกับลูกค้า ซึ่งบอกว่าจะมารับของ แต่ก็ยังไม่มาอีก จนกระทั่งมารับในวันที่ 4 ม.ค. 63 และพบว่ายันต์ดังกล่าวหายไป พร้อมกับที่ลูกค้าบอกว่าเป็นยันต์ที่บูชามาจากประเทศเนปาลในราคาประมาณ 600 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 19,200 บาท และมีคุณค่าทางจิตใจมาก
ทั้งนี้ นางมาลียอมรับว่าทางร้านรู้สึกเสียใจและขอโทษอย่างสุดซึ้งที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น รวมทั้งกำลังพยายามอย่างเต็มที่ในการติดตามหายันต์ดังกล่าวกลับมาคืนให้ลูกค้าให้ได้ โดยกรณีที่เกิดขึ้นนี้ทางลูกค้าและตนเองได้มีการไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่สถานีตำรวจแล้ว ซึ่งหากสุดท้ายหายันต์ไม่พบจริงๆ พร้อมที่จะชดใช้เงินให้ แต่คงไม่สามารถชดใช้ให้ได้เป็นจำนวนสูงเท่าที่ลูกค้าเรียกร้องได้ หรือจะให้ติดต่อบูชายันต์แบบเดียวกันจากร้านเดียวกันที่ประเทศเนปาลมาให้ก็ได้ ทั้งนี้อยากขอความเห็นใจให้ทางร้านเช่นกัน เพราะไม่มีเจตนาทำให้ลูกค้าเสียหาย แต่หลังจากที่ลูกค้ามีการนำเรื่องราวไปโพสต์เผยแพร่ทำให้ทางร้านได้รับความเสียหายไม่น้อยเหมือนกัน