ราชบุรี-ลุงสนิท ที่พึ่งผู้สูงอายุตกยาก เผยพบพฤติกรรมไม่โปร่งใสของประธานมูลนิธิผู้สูงอายุ (บ้านลุงสนิท)และถูกปลอมลายเซ็นเบิกเงินมูลนิธิฯ ไปหลายล้านบาท ขับไล่ให้ผู้สูงอายุไปอยู่วัด จนตอนนี้ ทั้ง 90 ชีวิตกำลังไร้ที่อยู่
จากกรณีหมอสนิท อาสนะ หรือลุงสนิท ชายผู้อุทิศตนก่อตั้งมูลนิธิผู้สูงอายุ (บ้านลุงสนิท) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่า เป็นศูนย์ช่วยเหลือผู้ป่วยไร้ที่พึ่งไร้ที่พักพิง ที่รับช่วยเหลือและดูแลคนป่วยผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง ที่ไร้ญาติและถูกทอดทิ้ง โดยใช้พื้นที่บ้านใน ต.คุ้งกระถิน อ.เมืองราชบุรี ตั้งเป็นศูนย์ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากมานานกว่า 37 ปีแล้ว
แต่เมื่อไม่นานมานี้ ลุงสนิท ได้โพสต์ข้อความร้องขอความเป็นธรรมและขอผู้ใจบุญช่วยเหลือว่า "ตอนนี้ในมูลนิธิรับดูแลคนชราอยู่ประมาณ 93 คน แต่ทั้งหมดกำลังจะไม่มีที่ซุกหัวนอน เนื่องจากเจ้าของที่ดินต้องการเวนคืนที่ด้วยเหตุผลส่วนตัว ลุงสนิท จึงอยากวอนขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือ ให้คนชราที่ทางมูลนิธิดูแลได้มีที่อยู่ต่อไป"
ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปที่มูลนิธิผู้สูงอายุ (บ้านลุงสนิท) เลขที่ 137 หมู่ที่ 5 ต.คุ้งกระถิน อ.เมืองราชบุรี เพื่อสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นกับ หมอสนิท อาสนะ หรือลุงสนิท อายุ 64 ปี และยังพบชาวบ้านกว่า 50 คน ที่รวมตัวกันเพื่อจะส่งคำร้องต่อศาล จ.ราชบุรี และ ผวจ.ราชบุรี ในการขอความเป็นธรรมให้แก่ลุงสนิท
ลุงสนิท เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาตนได้นำบ้านที่ตนเองอาศัยอยู่เลขที่ 117 ม.5 ต.คุ้งกระถิน อ.เมืองราชบุรี เปิดเป็นศูนย์ช่วยเหลือผู้ป่วยไร้ที่พึ่งไร้ที่พักพิง ให้เข้ามาอยู่อย่างไม่มีเงื่อนไขมานานกว่า 37 ปีแล้ว โดยเมื่อปี 61 ประธานกรรมการมูลนิธิผู้สูงอายุ (บ้านลุงสนิท) ได้มาชักชวนให้ตนไปจดทะเบียนเป็นมูลนิธิ เพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยไร้ที่พึ่ง ตนเห็นว่าอาจช่วยเหลือผู้ป่วยได้มากขึ้นจึงไม่ได้คิดอะไร และได้เซ็นเอกสารร่วมการจัดตั้งเป็นมูลนิธิผู้สูงอายุ (บ้านลุงสนิท) เมื่อวันที่ 16 มี.ค.61 ตนขอให้จดจัดตั้งด้วยบ้านเลขที่ของตนคือ บ้านเลขที่ 117 หมู่ที่ 5 ต.คุ้งกระถิน แต่ประธานกรรมการมูลนิธิฯ กลับไปจดเป็นเลขที่ 137 หมู่ 5 แทนโดยที่ตนไม่รู้ และแต่งตั้งตัวเองเป็นประธานมูลนิธิฯ ซึ่งแทนที่จะเป็นตัวลุงสนิท เป็นประธานมูลนิธิฯ แต่ตนก็ไม่คิดอะไร คิดถึงแต่ประโยชน์กับผู้ป่วยไร้ที่พึ่ง
จนเมื่อช่วงเดือน ส.ค.61 ตนได้รับหมอและผู้ดูแลเพิ่มเข้ามาเพราะเห็นว่ามีผู้ป่วยมากขึ้น จึงทำให้ประธานกรรมการมูลนิธิฯ คนดังกล่าวไม่ค่อยพอใจ และพยายามให้ตนไล่หมอกับคนดูแลออกไป เพราะเกรงว่าจะไปรู้อะไร แต่ตนไม่ยอมทำตาม เพราะเห็นว่าผู้ป่วยสำคัญกว่า ต้องมีหมอรักษาและต้องมีคนดูแล จึงทำให้ประธานกรรมการมูลนิธิฯ ไม่พอใจตนมากขึ้น จนเมื่อวันที่ 17 ต.ค.61 ประธานกรรมการมูลนิธิฯ ได้นำป้ายมาติดเพื่อขับไล่ตนและผู้ป่วยทั้งหมดให้ออกไปจากมูลนิธิฯ โดยอ้างว่ามูลนิธิฯ นี้เป็นของเขา เพราะจดจัดตั้งมูลนิธิฯ เลขที่บ้าน 137 หมู่ 5 ซึ่งเป็นเลขที่บ้านของเขา ตนก็สอบถามไปว่าตนได้ให้ไปจดจัดตั้งมูลนิธิเป็นเลขที่ 117 หมู่ 5 ไม่ใช่หรือ แต่กลับไม่ได้รับคำตอบ ทำให้หน่วยงานราชการเข้ามาเจรจาเรื่องให้จึงจบไปด้วยดี
ลุงสนิท เผยต่ออีกว่า และหลังเหตุการณ์ครั้งนั้นก็มีผู้ป่วยไร้ที่พึ่งจากหลายจังหวัดมาพักเพิ่มมากขึ้น ทำให้ตนคิดว่าควรจะขยายอาคารพักพิง และมีผู้ใจบุญติดต่อเข้ามาสร้างอาคารพักพิงผู้ป่วยให้ 2 อาคาร และโรงครัวอีก 1 อาคาร รวมเป็นเงิน 3,100,000 บาท เงินทั้งหมดผู้ใจบุญเป็นคนจ่ายเองทั้งหมด แต่ตนกลับพบพิรุธในการเบิกจ่ายเงินในมูลนิธิฯ เป็นเงินค่าก่อสร้างอาคารทั้ง 3 หลังด้วยเงินมูลนิธิฯ ตนจึงนำเรื่องไปปรึกษา นายอาณาจักร วรรณปักษ์ ที่ปรึกษากฎหมายมูลนิธิผู้สูงอายุ (บ้านลุงสนิท) และขอดูบัญชีและการเบิกจ่ายของมูลนิธิฯ จากประธานกรรมการมูลนิธิฯ ทำให้ตนรู้ว่ามีการทำรายงานการประชุมเป็นเท็จถึง 16 ครั้ง
จากครั้งที่ 2 จนถึงครั้งที่ 17 ประธานกรรมการมูลนิธิฯ ได้ทำหนังสือเอกสารขึ้นมาเอง โดยไม่มีการประชุมจริง มีการประชุมจริงเพียงครั้งที่ 1 เท่านั้น และมีการทำรายการเบิกจ่ายเงินซ้ำซ้อน นอกจากนี้ ยังมีการปลอมแปลงลายเซ็นของตน ให้เหมือนว่าตนเองเข้าร่วมประชุมด้วย และรู้เห็นเรื่องการเบิกจ่ายเงินในมูลนิธิฯทุกครั้ง ซึ่งที่ผ่านมา ตนยืนยันว่าตนไม่เคยเข้าประชุม และไม่รู้เห็นการเบิกจ่ายเงินในมูลนิธิ ซึ่งประธานกรรมการมูลนิธิฯ และคณะกรรมการอีก 2 ท่าน ไปเซ็นเบิกจ่ายเงินกันเอง ตนมีหลักฐานด้วยว่า ประธานกรรมการมูลนิธิฯ และคณะกรรมการอีก 2 ท่าน ทำเรื่องเบิกจ่ายเงินมูลนิธิฯ โดยไม่เป็นจริงกว่าหลายล้านบาท
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 21 ธ.ค.62 ประธานกรรมการมูลนิธิฯ ก็นำป้ายมาติดเพื่อขับไล่ตนและผู้ป่วยอีกครั้ง โดยอ้างเหมือนเดิมว่า มูลนิธิฯ นี้เขาเป็นเจ้าของเพราะเป็นที่ของเขา และเลขที่ไปจดจัดตั้งมูลนิธิฯ ก็เป็นบ้านเลขที่ของเขา ตนจึงถามไปว่าก่อนจดจัดตั้งมูลนิธิฯ ตนให้ไปจดเป็นเลขที่บ้านของตนแต่ทำไมไปจดเป็นบ้านเลขที่เขาแทน และการจัดตั้งคณะกรรมการซึ่งต้องมีด้วยกัน 5 คน แต่ทำไมตนเองไม่รู้ก่อนว่าเป็นใครบ้าง และถ้ามาไล่ผู้ป่วยให้ออกไปแล้วพวกเขาจะไปอยู่ที่ไหน ตนได้รับคำตอบเพียงเรื่องเดียวคือให้ผู้ป่วยทั้งหมดออกไปอยู่วัด พร้อมกับต่อว่าผู้ป่วยด้วยคำแรงๆ จนตนเองรับไม่ได้ ตนจึงตัดสินใจที่จะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว จึงอยากออกมาเปิดเผยความจริงให้ประชาชนรับรู้ ซึ่งที่ผ่านมาที่ตนเองต้องอดทนเพราะกลัวว่าผู้ป่วยไร้ที่พึ่งกว่า 90 คนต้องลำบาก ตนถึงไม่คิดพูดอะไร
ด้าน นายอาณาจักร วรรณปักษ์ ที่ปรึกษากฎหมายมูลนิธิผู้สูงอายุ (บ้านลุงสนิท) กล่าวว่า ตนในฐานะที่ปรึกษาของมูลนิธิผู้สูงอายุ (บ้านลุงสนิท) ได้เตรียมเอกสารเพื่อไปส่งคำร้องต่อศาล จ.ราชบุรี เพื่อถอดถอนประธานกรรมการมูลนิธิผู้สูงอายุ (บ้านลุงสนิท) และคณะกรรมการมูลนิธิผู้สูงอายุ (บ้านลุงสนิท) อีก 2 คน ในฐานะทำให้ชื่อเสียงของมูลนิธิฯ เสียหาย และทำผิดจุดประสงค์ของมูลนิธิฯ ตามพฤติกรรมที่ลุงสนิท ได้ให้ข้อมูลไปแล้วในเบื้องต้น
เนื่องจากเขาได้ไล่ผู้ป่วยภายในมูลนิธิฯ ให้ไปอยู่วัด และใช้ถ้อยคำที่รุนแรงไม่เหมาะสมกับผู้ป่วย ซึ่งก่อนหน้านี้ ทางลุงสนิท ได้ฟ้องกล่าวหาในคดีอาญา ต่อศาล จ.ราชบุรีไปแล้ว 2 คดี คือ 1.ใช้เอกสารเท็จ 2.ปลอมแปลงหลักฐานการประชุม ซึ่งวันนี้ทางลุงสนิท ได้มีการยื่นคำร้องต่อศาล จ.ราชบุรีแล้ว ทางตน ลุงสนิท และชาวบ้านอีก 30 คน ก็นำหนังสือแนบท้ายไปยื่นคำร้องต่อผู้ว่าราชการราชบุรี และนายอำเภอเมืองราชบุรี เพื่อร้องขอความเป็นธรรมให้แก่มูลนิธิผู้สูงอายุ บ้านลุงสนิท